วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

คอลเซ็นเตอร์"ฉ้อโกงข้ามชาติลวง"คนแก่"ถอนเงินจากแบงก์ : ตะลุยข่าวประจำวันที่ 28 ก.ค.
มิจฉาชีพข้ามชาติในนาม "แก๊งคอลเซ็นเตอร์" แม้ตำรวจไทยพยายามกวาดล้างจับกุม รวมถึงบอกกล่าวประชาสัมพันธ์ถึงกลลวงของบรรดามิจฉาชีพเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังมีผู้ตกเป็นเหยื่อหลงกลโอนเงินให้แก่ความน่าเชื่อของเหล่ามิจฉาชีพเหล่านี้
จากเดิมแก๊งคอลเซ็นเตอร์จะใช้อุบายลวง "เหยื่อ" ด้วยการโทรศัพท์เข้ามายังเบอร์โทรศัพท์มือถือแล้ว ลวงว่าคุณเป็นหนี้บัตรเครดิต, ติดค้างชำระการเสียภาษีอากร ฯลฯ จนสายปลายหลงเชื่อ ยอมไปทำรายการหน้าตู้เอทีเอ็ม กว่าจะรู้ตัวว่าถูกหลอก...เงินที่สะสมมาก็เกือบเกลี้ยงบัญชีธนาคารแล้ว
แต่ล่าสุด แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ยิ่งเหิมเกริมใช้กลอุบายลวงเหยื่อว่า คนใกล้ชิดถูกตำรวจจับกุมข้อหายาเสพติดบ้าง ถูกคนร้ายลักพาตัวบ้าง แต่เลือกสุ่มโทรศัพท์ไปยังเบอร์บ้านของเหยื่อ เลือกเฉพาะเหยื่อที่สูงอายุ พูดจาหว่านล้อมต่างๆ นานา จนเหยื่อหลงเชื่อยอมไปทำธุรกรรมการเงินที่ธนาคารแล้วถอนเงินสดมา แล้วนำเงินไปฝากในตู้ฝากเงินอัตโนมัติ กว่าจะรู้ตัวเงินที่สะสมมาตลอดชีวิต เพื่อจะมาใช้ในบั้นปลายชีวิตต้องมลายหายไปในชั่วพริบตา
ส่วนฐานปฏิบัติการ "ฉ้อโกงข้ามชาติ" ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์เหล่านี้ แต่เดิมเคยประจำการอยู่เมืองไทย แต่มีการปรับกลยุทธ์โยกย้ายฐานปฏิบัติการไปยังประเทศเพื่อนบ้านแทน เนื่องจากถูกตำรวจไทยกดดันกวาดล้างจับกุมอย่างหนัก
เมื่อเร็วๆ นี้ ทางการเวียดนามประสานมายังประเทศไทยถึงการจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่บ้านพักแห่งหนึ่ง เขต 7 เมืองโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม ซึ่งมีกลุ่มคนไทยร่วมอยู่ในขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 11 ราย ที่เข้าไปตั้งฐานการกระทำผิดโดยใช้โทรศัพท์ระบบวีโอไอพี มาหลอกคนไทยให้โอนเงินไปให้แก๊งชาวไต้หวัน พล.ต.ต.ปัญญา มาเม่น รองผบช.ก. พร้อมทีมสืบสวน จึงเดินทางไปตรวจสอบด้วยตนเองที่ประเทศเวียดนาม ขณะเดียวกันติดต่อกลับมาถึงทีมสืบสวนที่อยู่เมืองไทย ช่วยตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์ต่างๆ ที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์สุ่มโทรศัพท์มาลวงมาจากประเทศเวียดนาม จนกระทั่งพบว่ามีคนไทยตกเป็นเหยื่อหลายราย
เมื่อทางการเวียดนามผลักดันคนไทยทั้ง 11 คน กลับประเทศไทยโดยไม่แจ้งข้อหา แต่พลันที่พวกเขาทั้ง 11 คนเหยียบแผ่นดินไทยกลับถูกจับกุมทันที ในข้อหา "ฉ้อโกงประชาชน" เนื่องจากมีการประสานตรวจสอบหาผู้ที่ตกเป็นเหยื่อพร้อมหลักฐานไว้รอมัดบรรดามิจฉาชีพเหล่านี้เรียบร้อยแล้ว!! "ประเทศเวียดนามมีกลุ่มคนไทยที่เข้าไปตั้งฐานการกระทำผิดโดยใช้โทรศัพท์ระบบวีโอไอพี มาหลอกคนไทยให้โอนเงินไปให้แก๊งชาวไต้หวัน โดยคนไทยที่จับกุมได้ทั้ง 11คน จะได้แค่ส่วนแบ่งเล็กน้อยเท่านั้น" พล.ต.ต.ปัญญา ระบุ
สำหรับคนไทยทั้ง 11 รายที่ถูกจับกุม ได้แก่ นายรุ่งโรจน์ ศรีรัตน์ อายุ 34 ปี ชาวนครราชสีมา นายสระไกร ศรีแจ้ง อายุ 37 ปี ชาวสกลนคร นายวิชิต แก่นคำ อายุ 32 ปี ชาวอุดรธานี นายทรงวุฒิ ศรีไว อายุ 22 ปี ชาวอุดรธานี นายอภิเดช ภูมิพันธ์ อายุ 30 ปี ชาวกาฬสินธุ์ น.ส.พาลินี ชัยมนตรี อายุ 20 ปี ชาวอุดรธานี นางจิราภรณ์ ภูมิพันธ์ อายุ 29 ปี ชาวนครพนม นางจันทร์เพ็ญ สารสิทธิ์ อายุ 34 ปี ชาวอุดรธานี น.ส.ณัฐชา ศรีโคตร อายุ 32 ปี ชาวชลบุรี น.ส.สันท์ฤทัย วรรณศิริ อายุ 33 ปี ชาวอุดรธานี และ น.ส.มานิตย์ วรรณศิริ อายุ 35 ปี ชาวอุดรธานี
การสืบสวนแก๊งคอลเซ็นเตอร์แก๊งนี้ พบว่ามีหญิงคนไทยชื่อ "นาง" มาชักชวน "นายสระไกร" ให้เดินทางไปเที่ยวที่ประเทศเวียดนาม เมื่อไปถึงจะมีชาวเวียดนามชื่อ "บัง" มารับทั้งหมดไปบ้านพัก ก่อนจะมีชาวชายชาวไต้หวัน ชื่อ "อาหมง"และ "อาปิง" มาที่บ้าน และให้ฝึกฝนการพูดจากคนที่เคยทำงานมาแล้ว ฝึกการพูดจากสคริปต์และคอมพิวเตอร์ ก่อนจะแบ่งหน้าที่เป็นสายของเจ้าหน้าที่ธนาคาร, สายของเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือ ดีเอสไอ ทั้งนี้ มีตำรวจที่ถูกแอบอ้างชื่อ ได้แก่ ร.ต.ท.อดิศรณ์ วงษ์สาโรจน์, ร.ต.ท.ก้องหล้า วงศ์วิเศษศิลป์ และ ร.ต.ท.กฤษณ์ มีสุข ส่วนเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ชื่อ พ.ต.ท.ประวุฒิ วงศ์ศรีนิล
"ทุกวันนี้ กลยุทธ์พวกแก๊งคอลเซ็นเตอร์เริ่มเปลี่ยนไป เนื่องจากมีการประชาสัมพันธ์เตือนภัยกันเยอะ โดยเฉพาะการลวงทำธุรกรรมหน้าตู้เอทีเอ็ม แต่ตอนนี้มิจฉาชีพเปลี่ยนมาสุ่มโทรศัพท์จากเบอร์บ้าน ทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และตามต่างจังหวัด เลือกลวงเหยื่อที่เป็นคนสูงอายุ ใช้จิตวิทยาหว่านล้อมต่างๆ นานา บ้างบอกหลานถูกตำรวจจับเรื่องยาเสพติด ต้องโอนเงินมาให้ด่วน ต้องรีบไปถอนเงินจากธนาคาร แล้วไปฝากเงินอัตโนมัติตามแผนที่มิจฉาชีพวางไว้ จึงอยากให้บุตรหลานที่เคยถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์โทรศัพท์มาหา ช่วยอธิบายให้ผู้สูงอายุทราบก่อนตกเป็นเหยื่อ" พ.ต.อ.พันธนะ นุชนารถ ผกก.3 กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว แนะนำ