วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

CNN's Arwa Damon reports on what's behind the latest crackdown across Syria.

Advertising programs ...

คลุ้มคลั่งปีนระเบียงร้านทองฮั่วเซ่งเฮง เยาวราช


วานนี้ (30 ก.ค.) เมื่อเวลา 23.45 น. พ.ต.ท.มนต์เสก ตระกูลพานิชย์ สวป.สน.พลับพลาไชย 2 รับแจ้งเหตุชายคลุ้มคลั่งพยายามกระโดดจากที่สูง บริเวณห้างทองฮั่วเซ่งเฮง เยาวราช เลขที่ 401/7 ซ.แปลงนาม ถ.เยาวราช แขวงและเขตสัมพันธวงศ์ กทม.จึงรายงานผู้บังคับบัญชาทราบก่อนรุดไปตรวจสอบพร้อมเจ้าหน้าที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง

ที่เกิดเหตุเป็นอาคารพาณิชย์สูง 5 ชั้น ชั้นล่างเปิดกิจการร้านค้าทองรูปพรรณ บริเวณระเบียงชั้น 2 ของอาคารเจ้าหน้าที่พบ นายไวยวัฒน์ บุนนาค อายุ 46 ปี อยู่บ้านเลขที่ 67 หมู่ที่ 2 ถ.หนองกี่พัฒนา ต.ทุ่งกระเด็น อ.หนองกี่ จ.บุรีรัมย์ สภาพไม่สวมเสื้อ สวมกางเกงขาสั้นสีแดง ลักษณะท่าทางคล้ายคนเมายา บ่นพร่ำเพ้อจับใจความไม่ได้ เจ้าหน้าที่ต้องประสานรถกระเช้าเพื่อขึ้นไปเกลี้ยกล่อมเพื่อนำตัวลงมาด้านล่างแต่การเจรจาไม่เป็นผล

ต่อมาชายคนดังกล่าวออกอาการหวาดระแวงมากขึ้น ขว้างปาสิ่งของลงมาด้านล่าง อีกทั้งได้ใช้ไฟแช็กจุดไฟ เพื่อขู่ทางเจ้าหน้าที่ไม่ให้เข้าไปหา ท่ามกลางประชาชนและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ที่เฝ้ามุงดูเหตุการณ์ อย่างไรก็ดี หลังจากใช้เวลาเจรจาร่วม 1 ชั่วโมง เจ้าหน้าที่ได้ทำการซ้อนแผน โดยแบ่งกำลังออกเป็น 2 ชุด ชุดแรกทำการเกลี้ยกล่อม เพื่อดึงดูดความสนใจ และให้เจ้าหน้าที่อีกชุด ขึ้นไปยังตัวอาคาร เพื่อทำการชาร์จตัวผู้ก่อเหตุไว้ได้ ท่ามกลางเสียงปรบมือของประชาชนที่เฝ้าดูเหตุการณ์ ก่อนเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวนายไวยวัฒน์ ไปสงบสติอารมณ์ที่ สน.พลับพลาไชย 2 เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกชาวบ้านรุมประชาทัณฑ์

จากการสอบสวน นายไวยวัฒน์ ให้การว่า ตนประกอบอาชีพขับรถบรรทุกสิบล้อประจำขนส่งใน จ.นครราชสีมา และตกงานจึงได้เดินทางเข้ามาที่กรุงเทพได้ 2-3 วัน เพื่อมาหางานทำ โดยก่อนเกิดเหตุ ตนได้เดินมาที่ถนนดังกล่าว ก็พบกับกลุ่มวัยรุ่นเข้ามาหาเรื่อง จนเกิดการทะเลาะวิวาทกัน จึงตัดสินใจปีนเข้าร้านทองดังกล่าว ซึ่งอยู่ด้านข้างโรงแรมไวท์ออคิด เพื่อหลบหนี

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจปัสสาวะนายไวยวัฒน์ เพื่อหาสารเสพติด แต่ผลปรากฏว่า ไม่พบเป็นสีม่วง อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่ไม่ปักใจกับคำให้การ เนื่องจากตลอดการสอบปากคำนายไวยวัฒน์ พูดวกไปวนมาจึงควบคุมตัวไว้ให้สงบสติอารมณ์ ก่อนส่งไปตรวจที่สถาบันจิตวิทยาต่อไป

مجمع أبو دغش للحوم

วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

Commercials Refrigerator.


จุฬาฯ เปิดตัวหุ่นยนต์ผ่าตัด ทุ่มงบรัฐ 100 ล้าน จัดซื้อจากสหรัฐ เผยเทคโนโลยีสุดเจ๋ง เตรียมเปิดโครงการผ่าตัดถวายเป็นพระราชกุศล 84 ราย เดือน ก.ย.นี้

วันที่ 28 ก.ค. ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกันแถลงข่าวเปิดตัวหุ่นยนต์ผ่าตัด (robotic surgery) เครี่องแรกของประเทศไทย โดยหุ่นยนต์ดังกล่าว เป็นหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด ยี่ห้อดาวินซี (Da Vinci) จากประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งคณะแพทยศาสตร์ฯ ได้จัดซื้อด้วยงบประมาณจากสำนักงบประมาณ จำนวน 108 ล้านบาท และเริ่มใช้ครั้งแรกเมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา

ศ.นพ.อดิศร ภัทราดูลย์ คณบดีคณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า การผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ เป็นเทคโนโลยีใหม่ ที่แพทย์คุมการผ่าตัดนอกห้องผ่า โดยใช้แขนหุ่นยนต์ส่องเข้าไปผ่าตัดในตัวผู้ป่วย สามารถลดปัญหาแทรกซ้อนในตัวผู้ป่วยได้ดี ซึ่งจุฬาฯ ตั้งเป้าจะให้ศัลยแพทย์ใช้หุ่นยนต์มากที่สุด และใช้ในการศึกษาด้วย หุ่นยนต์ผ่าตัดของจุฬาฯ เป็นชนิดฟูลออฟชั่น มีเครื่องคุมการผ่าตัด 2 ชุด สามารถใช้ศัลยแพทย์ 2 คน ช่วยผ่าตัด จากนี้ จุฬาฯ จะมีโครงการที่เกี่ยวข้องคือ ในวันที่ 17 ส.ค. จะมีการประชุมวิชาการ เพื่อให้ความรู้แก่แพทย์ทั่วประเทศ เกี่ยวกับการใช้หุ่นยนต์ผ่าตัด และในเดือน ก.ย.จะเปิดโครงการผ่าตัด เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ครบ 7 รอบ จัดผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ฟรี 84 ราย ซึ่งในเดือน ก.ย.นี้ ที่เปิดโครงการจะมีรายละเอียดเรื่องแผนงานที่ชัดเจนอีกครั้ง

นพ.เกรียงศักดิ์ ประสพสันติ หัวหน้าภาควิชาศัลยศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า เราได้มีการใช้กล้องส่องผ่าตัดมาหลายปี เพราะมีประโยชน์ที่ทำให้แผลผ่าตัดมีขนาดเล็ก ต่อมา ได้มีการพัฒนาสร้างหุ่นยนต์ผ่าตัด ซึ่งจะทำให้มองเห็นภาพรายละเอียดการผ่าตัดเป็นสามมิติ กำลังขยาย 10 เท่า การเคลื่อนไหวในช่องเล็ก ๆ สามารถทำได้มากขึ้น ซึ่งเราได้มีหุ่นยนต์ผ่าตัดรุ่นใหม่ล่าสุด ที่มีแขนกลทำหน้าที่แทนตา และแขน อันสามารถขยับได้ใกล้เคียงกับมือของศัลยแพทย์ โดยหุ่นยนต์ผ่าตัดนี้ จะเริ่มใช้ที่ภาควิชาศัลยศาสตร์ จุฬาฯ เป็นแห่งแรก

รศ.นพ.ธีระพงศ์ เจริญวิทย์ หัวหน้าภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา กล่าวว่า การใช้หุ่นยนต์ผ่าตัดด้านนรีเวช จะมีประโยชน์ในการผ่ามะเร็งในบริเวณอุ้งเชิงกราน ซึ่งเป็นบริเวณที่อยู่ลึก และมีความซับซ้อน หุ่นยนต์ผ่าตัดจึงเป็นประโยชน์อย่างแท้จริงต่อผู้ป่วยกลุ่มนรีเวช โดยเฉพาะมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก และมะเร็งปากมดลูก และยังใช้ในงานนรีเวชอื่น ๆ ที่ต้องอาศัยความแม่นยำ ละเอียดถี่ถ้วน เช่น การแก้หมันหญิง ผู้ป่วยจะเสียเลือดน้อยลง มีการฟื้นตัวเร็วขึ้น ในด้านนรีเวช คาดว่า จะสามารถดำเนินการใช้หุ่นผ่าตัดได้ในเดือน ก.ย.นี้ และต่อไปจะมีการพัฒนาเทคโนโลยีนี้ให้คุ้มค่า เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจของบ้านเรา

ผศ.นพ.อภิรักษ์ สันติงามกุล ศัลยแพทย์ ภาควิชาศัลยศาสตร์ กล่าวว่า ในด้านศัลยกรรมระบบปัสสาวะ มีการใช้เครื่องนี้จำนวนมาก โดยงานที่คุ้มค่า คือ การผ่าตัดมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งต่อมลูกหมาก ซึ่งเป็นมะเร็งที่พบผู้ป่วยเพิ่มจำนวนมากขึ้น ต่อมลูกหมากนั้นอยู่ลึก และเป็นบริเวณที่ละเอียดอ่อน การใช้หุ่นผ่าตัด จะช่วยรักษาเส้นประสาทได้ดี แก้ปัญหาเรื่องการแข็งตัวขององคชาติ และอาการปัสสาวะเล็ดภายหลังผ่าตัดได้ นอกจากนี้ ยังใช้ผ่าตัดมะเร็งไตได้ดี ซึ่งมะเร็งชนิดนี้ไม่ตอบสนองต่อการทำคีโม ต้องผ่าตัดอย่างเดียว เดิมการผ่าตัดต้องเอาไตออก แต่การใช้หุ่นจะช่วยแก้ปัญหานั้น และลดการเสียเลือดได้ดี ซึ่งไตนั้นมีเลือดไปหล่อเลี้ยงถึงร้อยละ 25 ที่ออกจากหัวใจ จึงต้องลดการเสียเลือด ที่ผ่านมา ในช่วง 2 เดือน การใช้หุ่นยนต์ผ่าตัด สามารถผ่ามะเร็งต่อมลูกหมากได้แล้ว 4 ราย ผ่าตัดกรวยไตเสีย 1 ราย ตัดไตเสื่อม 1 ราย

นพ.สุเทพ อุดมแสวงพันธ์ ศัลยแพทย์ ภาควิชาศัลยศาสตร์ กล่าวว่า การผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์มีความเที่ยงตรงสูงมาก ซึ่งการผ่าตัดนี้ อาจใช้เวลานานกว่าระบบส่องกล้อง หรือผ่าตัดด้วยมือศัลยแพทย์ แต่แผลเล็ก เวลาพักพื้นสั้น นอนโรงพยาบาลไม่นาน ความเจ็บปวดน้อยมาก ค่าใช้จ่ายอาจยังสูงอยู่ แต่จะมีประโยชน์ในการผ่าตัดหลายอย่าง ทั้งศัลยศาสตร์ระบบทางเดินปัสสาวะ ศัลยศาสตร์ลำไส้ใหญ่ และทวารหนัก ศัลยศาสตร์ทรวงอก สูตินรีเวช และศัลยศาสตร์ทั่วไป.

Ajans - Tanrıça Hula Hoop fırça bir döngü 105 ile Hula Hoop bir döngü dans eden 22 yaşındaki Lin Jin Lin'in tarzı Çin medyanın görüntü. Durumunda bu 28 Temmuz önce Hong Kong'da yerel bir mağaza.

Hula Hoop genç tanrıçası bu onun Sahne Sanatları, Harvard School onu Hula Hoop ile eğitim ve dans eğitimi almaya başladı eski yaklaşık 8 yıl yaşında genç bir sabit düşük dönüş (Harbin) 'dir. uçuş. Hula Hoop ağırlığını azaltmak için ilk oyun. Tek etkinlik o ben kilolu olduğum için, 15-16 yıl yaşında ciddi olarak Hula Hoop oynamaya başladı "dedi. Bir süre oynadı ve bir döngü ben bakım fazla 3-10 sonra sonra yavaş yavaş Hula Hoop bakımı miktarı ve daha fazla artış. "

Houston 105 döngü için Hula basketbol oynayan oyuncu istatistikleri, Ebu Muay Jin biri. Bir zamanlar 305 döngü oldu Hula Hoop oynayarak kendi kayıtlarında ise 2550 yılında Guinness Dünya Rekorları tarafından kaydedildi.

Sexy Coyote

เมื่อเวลา 13.00 น. วันนี้ (30 ก.ค.) พ.ต.อ.ธีรพล จินดาหลวง รอง ผบก.ภ.จว.ชลบุรี พร้อมด้วย พ.ต.อ.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผกก.สภ.หนองขาม ร่วมกันแถลงข่าวจับกุมนายจิรายุทธ์ แก้วรุ่งเรือง อายุ 25 ปี พร้อมของกลางยาไอซ์ หนัก 1 กิโลกรัม มูลค่ากว่า 3 ล้านบาท และยาบ้า 244 เม็ด นอกจากนั้นยังมีทรัพย์สินอีกหลายรายการที่สามารถยึดมาได้ ประกอบด้วย เงินสด จำนวน 102,000 บาท , สร้อยคอทองคำหนัก 3 บาท 1 เส้น ,แหวนทองคำหนัก 1 บาท จำนวน 1 วง ,รถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า ยารีส สีฟ้า 1 คัน , รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า รุ่น ซีบี 400 สีดำ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน จำนวน 1 คัน และรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อ ยามาฮ่า รุ่นฟีโน่ สีเขียว-ดำ 1 คัน สอบสวนนายจิรายุทธ์ ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า รับยาบ้าและยาไอซ์มาจากเครือข่ายเรือนจำกลางจังหวัดระยอง โดยติดต่อกันทางโทรศัพท์ว่าจะให้ไปรับยาที่ไหนและให้ไปส่งให้ใคร โดยตนจะได้ค่าจ้างครั้งละ 40,000 บาท ซึ่งทำมาแล้วหลายครั้งจนมาถูกจับกุม
พ.ต.อ.ธีรพล กล่าวว่า ตามนโยบายของผู้บังคับบัญชาระดับสูง และผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี ทำการระดมกวาดล้างอาชญากรรมและยาเสพติดในพื้นที่ โดยเน้นผู้ค้ารายใหญ่ จนสืบทราบว่าจะมีการลักลอบนำยาเสพติดล๊อตใหญ่เข้ามาในพื้นที่ จึงเฝ้าดูพฤติกรรมจนทราบว่านายจิรายุทธ์ เป็นเอเย่นต์ยาบ้าและยาไอซ์รายใหญ่ และกำลังจะนำยาเสพติดไปส่งให้ลูกค้า จึงเข้าจับกุมได้พร้อมของกลาง พร้อมยึดทรัพย์สินมาทำการตรวจสอบขยายผลต่อไป นอกจากนี้เมื่อวันที่ 29 ก.ค. ที่ผ่านมา ก็สามารถจับผู้ต้องหาค้ายาไอซ์ ได้ 2 คน คือ นายวิชิต บานเย็น อายุ 25 ปี และนายอาทิตย์ ศรีณพ อายุ 24 ปี โดยสามารถตรวจยึดยาไอซ์ น้ำหนัก 500 กรัม ซึ่ง 2 วันนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรหนองขาม สามารถจับกุมยาไอซ์ รวม ทั้งสิ้น 1.5 กิโลกรัม ซึ่งถือว่าเป็นการจับกุมยาเสพติด ยาไอซ์ครั้งใหญ่ในพื้นที่ด้วย.

วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

Enjoy the Internet. Social networking.1.

พิจิตร - เหยื่อไข้เลือดออกพิจิตรตายเพิ่มอีก 1 แล้ว รวมยอกผู้เสียชีวิตสะสม 3 ราย ระบุ 7 เดือนปีนี้มีผู้ป่วยมากกว่าพันคน

วันนี้ (29 ก.ค.54) นายประจักษ์ วัฒนะกูล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดพิจิตร เปิดเผยถึงสถานการณ์โรคไข้เลือดออกที่กำลังแพร่ระบาดอย่างรุนแรงในจังหวัดพิจิตร จนส่งผลให้มีผู้ป่วยเป็นจำนวนมากและมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น เพียงแค่ 7 เดือนของปีนี้ มีประชาชนทุกเพศทุกวัยป่วยด้วยไข้เลือดออกขอเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลของรัฐแล้วเป็นจำนวนผู้ป่วยสะสมมากถึง 1,024 คน

ล่าสุดวันนี้พบเด็กชายอายุ 4 ปี 11 เดือน เป็นชาวอำเภอดงเจริญ มีอาการป่วยด้วยโรคไข้เลือดออก มีไข้สูงตัวร้อนจนเกิดอาการชัก และขอเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลพิจิตร แต่อาการรุนแรงมากเกินกว่าที่จะรักษาได้ทัน จึงทำให้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอีก 1 ราย

จนส่งผลให้ในขณะนี้จังหวัดพิจิตรมีผู้เสียชีวิตยอดสะสมแล้วเป็นจำนวน 3 ราย คือรายแรกเป็นเด็กหญิงวัย 7 ปี ชาวอำเภอสามง่าม รายที่สองเป็นเด็กหญิงวัย 17 ปี ชาวอำเภอทับคล้อ และรายที่สาม ล่าสุดนี้ คือ เด็กชายวัย 4 ปี 11 เดือน ชาวอำเภอดงเจริญ ดังกล่าว

ในส่วนของแนวทางการแก้ไขและป้องกัน วันนี้(29 ก.ค.)ที่ศาลากลางหมู่บ้าน หมู่ที่ 2 ตำบลเนินปอ อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร เทศบาลตำบลเนินปอร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขอำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร จัดประชาคมหมู่บ้านป้องกันและปราบปรามการแพร่ระบาดของโรคไข้เลือดออก โดยมีนายเอกวัฒน์ อินทรกูล นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลเนินปอร่วมกับนายประพันธ์ศักดิ์ เสือนาราง สาธารณสุขอำเภอสามง่าม ร่วมกันจัดประชาคมหมู่บ้านจากราษฎรในตำบลเนินปอ เพื่อขอร่วมลงมติในการป้องกันและปราบปรามการแพร่ระบาดของโรคไข้เลือดออก

หลังจากพบว่าในพื้นที่ตำบลเนินปอ พบเด็กหญิงวัย 7 ปี ป่วยด้วยโรคไข้เลือดออกและมีอาการรุนแรงจนเสียชีวิตเป็นรายแรกของตำบลในปีนี้

โดยเทศบาลตำบลเนินปอและสำนักงานสาธารณสุขอำเภอ รวมถึงประชาชนชาวตำบลเนินปอ ได้มีมติประชาคมหมู่บ้าน ว่า บ้านเรือน ที่พักอาศัยทุกหลังคาเรือนจะต้องมียากันยุงหรือยาฉีดยุงครัวเรือนละ 1 กระป๋อง และทุกหลังคาเรือนจะต้องนำมาตรการ 4 ป ของกระทรวงสาธารณสุขที่กำหนดมาตรการปราบปรามไข้เลือดออกมาปฏิบัติทุกหลังคาเรือน คือ

ป.ที่ 1 การปิดฝาพาชนะกักเก็บน้ำให้มิดชิด ไม่ให้ยุงลายสามารถเพาะพันธ์ลูกน้ำได้ มาตรการ ป.ที่ 2 คือ การเปลี่ยนน้ำในพาชนะ ทั้งแจกันดอกไม้บ่อยๆ เพื่อไม่ให้ยุงสามารถวางไข่ได้ มาตรการ ป.ที่ 3 ปล่อยปลาหางนกยุงลงในอ่างบัวหรืออ่างน้ำต่างๆ เพื่อให้ไปกินลูกน้ำยุงลายและมาตรการสุดท้าย การปรับปรุงสิ่งแวดล้อม หมั่นคว่ำทำลายแหล่งเพาะพันธ์ลูกน้ำยุงลายอย่างต่อเนื่องสัปดาห์ละ 1 ครั้ง

นายประพันธ์ศักดิ์ เสือนาราง สาธารณสุขอำเภอสามง่าม กล่าวว่า นอกจากนี้ อสม.ในพื้นที่ตำบลเนินปอจะต้องไปรณรงค์ให้ความรู้กับประชาชนทุกหลังคาเรือน เพื่อให้ช่วยกันควบคุม ป้องกันและปราบปรามทำลายแหล่งเพาะพันธ์ลูกน้ำยุงลาย พาหะนำโรคไข้เลือดออก ให้จำนวนผู้ป่วยลดลงและไม่ให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มเติมในพื้นที่รวมถึงยุติการระบาดที่รุนแรงเช่นปีนี้ โดยจะมีเจ้าหน้าที่เทศบาลร่วมกับอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน หมั่นคอยออกไปตรวจสอบการปฏิบัติประชาคมหมู่บ้านทุกหลังคาเรือนสัปดาห์ละ 1 ครั้งด้วย

และเทศบาลตำบลเนินปอ ยังได้ปูพรม ฉีดพ่นหมอกควัน กวาดล้างคว่ำทำลายพาชนะชนิดต่างๆ ที่มีน้ำแช่ขังและเป็นแหล่งเพาะพันธ์ลูกน้ำยุงลายแบบครบทุกหลังคาเรือนในเขตเทศบาลตำบลเนินปออย่างต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่วันนี้ 28 กรกฎาคม 54 ไปจนถึงวันที่ 3 สิงหาคม 2554

วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

คอลเซ็นเตอร์"ฉ้อโกงข้ามชาติลวง"คนแก่"ถอนเงินจากแบงก์ : ตะลุยข่าวประจำวันที่ 28 ก.ค.
มิจฉาชีพข้ามชาติในนาม "แก๊งคอลเซ็นเตอร์" แม้ตำรวจไทยพยายามกวาดล้างจับกุม รวมถึงบอกกล่าวประชาสัมพันธ์ถึงกลลวงของบรรดามิจฉาชีพเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังมีผู้ตกเป็นเหยื่อหลงกลโอนเงินให้แก่ความน่าเชื่อของเหล่ามิจฉาชีพเหล่านี้
จากเดิมแก๊งคอลเซ็นเตอร์จะใช้อุบายลวง "เหยื่อ" ด้วยการโทรศัพท์เข้ามายังเบอร์โทรศัพท์มือถือแล้ว ลวงว่าคุณเป็นหนี้บัตรเครดิต, ติดค้างชำระการเสียภาษีอากร ฯลฯ จนสายปลายหลงเชื่อ ยอมไปทำรายการหน้าตู้เอทีเอ็ม กว่าจะรู้ตัวว่าถูกหลอก...เงินที่สะสมมาก็เกือบเกลี้ยงบัญชีธนาคารแล้ว
แต่ล่าสุด แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ยิ่งเหิมเกริมใช้กลอุบายลวงเหยื่อว่า คนใกล้ชิดถูกตำรวจจับกุมข้อหายาเสพติดบ้าง ถูกคนร้ายลักพาตัวบ้าง แต่เลือกสุ่มโทรศัพท์ไปยังเบอร์บ้านของเหยื่อ เลือกเฉพาะเหยื่อที่สูงอายุ พูดจาหว่านล้อมต่างๆ นานา จนเหยื่อหลงเชื่อยอมไปทำธุรกรรมการเงินที่ธนาคารแล้วถอนเงินสดมา แล้วนำเงินไปฝากในตู้ฝากเงินอัตโนมัติ กว่าจะรู้ตัวเงินที่สะสมมาตลอดชีวิต เพื่อจะมาใช้ในบั้นปลายชีวิตต้องมลายหายไปในชั่วพริบตา
ส่วนฐานปฏิบัติการ "ฉ้อโกงข้ามชาติ" ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์เหล่านี้ แต่เดิมเคยประจำการอยู่เมืองไทย แต่มีการปรับกลยุทธ์โยกย้ายฐานปฏิบัติการไปยังประเทศเพื่อนบ้านแทน เนื่องจากถูกตำรวจไทยกดดันกวาดล้างจับกุมอย่างหนัก
เมื่อเร็วๆ นี้ ทางการเวียดนามประสานมายังประเทศไทยถึงการจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่บ้านพักแห่งหนึ่ง เขต 7 เมืองโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม ซึ่งมีกลุ่มคนไทยร่วมอยู่ในขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 11 ราย ที่เข้าไปตั้งฐานการกระทำผิดโดยใช้โทรศัพท์ระบบวีโอไอพี มาหลอกคนไทยให้โอนเงินไปให้แก๊งชาวไต้หวัน พล.ต.ต.ปัญญา มาเม่น รองผบช.ก. พร้อมทีมสืบสวน จึงเดินทางไปตรวจสอบด้วยตนเองที่ประเทศเวียดนาม ขณะเดียวกันติดต่อกลับมาถึงทีมสืบสวนที่อยู่เมืองไทย ช่วยตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์ต่างๆ ที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์สุ่มโทรศัพท์มาลวงมาจากประเทศเวียดนาม จนกระทั่งพบว่ามีคนไทยตกเป็นเหยื่อหลายราย
เมื่อทางการเวียดนามผลักดันคนไทยทั้ง 11 คน กลับประเทศไทยโดยไม่แจ้งข้อหา แต่พลันที่พวกเขาทั้ง 11 คนเหยียบแผ่นดินไทยกลับถูกจับกุมทันที ในข้อหา "ฉ้อโกงประชาชน" เนื่องจากมีการประสานตรวจสอบหาผู้ที่ตกเป็นเหยื่อพร้อมหลักฐานไว้รอมัดบรรดามิจฉาชีพเหล่านี้เรียบร้อยแล้ว!! "ประเทศเวียดนามมีกลุ่มคนไทยที่เข้าไปตั้งฐานการกระทำผิดโดยใช้โทรศัพท์ระบบวีโอไอพี มาหลอกคนไทยให้โอนเงินไปให้แก๊งชาวไต้หวัน โดยคนไทยที่จับกุมได้ทั้ง 11คน จะได้แค่ส่วนแบ่งเล็กน้อยเท่านั้น" พล.ต.ต.ปัญญา ระบุ
สำหรับคนไทยทั้ง 11 รายที่ถูกจับกุม ได้แก่ นายรุ่งโรจน์ ศรีรัตน์ อายุ 34 ปี ชาวนครราชสีมา นายสระไกร ศรีแจ้ง อายุ 37 ปี ชาวสกลนคร นายวิชิต แก่นคำ อายุ 32 ปี ชาวอุดรธานี นายทรงวุฒิ ศรีไว อายุ 22 ปี ชาวอุดรธานี นายอภิเดช ภูมิพันธ์ อายุ 30 ปี ชาวกาฬสินธุ์ น.ส.พาลินี ชัยมนตรี อายุ 20 ปี ชาวอุดรธานี นางจิราภรณ์ ภูมิพันธ์ อายุ 29 ปี ชาวนครพนม นางจันทร์เพ็ญ สารสิทธิ์ อายุ 34 ปี ชาวอุดรธานี น.ส.ณัฐชา ศรีโคตร อายุ 32 ปี ชาวชลบุรี น.ส.สันท์ฤทัย วรรณศิริ อายุ 33 ปี ชาวอุดรธานี และ น.ส.มานิตย์ วรรณศิริ อายุ 35 ปี ชาวอุดรธานี
การสืบสวนแก๊งคอลเซ็นเตอร์แก๊งนี้ พบว่ามีหญิงคนไทยชื่อ "นาง" มาชักชวน "นายสระไกร" ให้เดินทางไปเที่ยวที่ประเทศเวียดนาม เมื่อไปถึงจะมีชาวเวียดนามชื่อ "บัง" มารับทั้งหมดไปบ้านพัก ก่อนจะมีชาวชายชาวไต้หวัน ชื่อ "อาหมง"และ "อาปิง" มาที่บ้าน และให้ฝึกฝนการพูดจากคนที่เคยทำงานมาแล้ว ฝึกการพูดจากสคริปต์และคอมพิวเตอร์ ก่อนจะแบ่งหน้าที่เป็นสายของเจ้าหน้าที่ธนาคาร, สายของเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือ ดีเอสไอ ทั้งนี้ มีตำรวจที่ถูกแอบอ้างชื่อ ได้แก่ ร.ต.ท.อดิศรณ์ วงษ์สาโรจน์, ร.ต.ท.ก้องหล้า วงศ์วิเศษศิลป์ และ ร.ต.ท.กฤษณ์ มีสุข ส่วนเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ชื่อ พ.ต.ท.ประวุฒิ วงศ์ศรีนิล
"ทุกวันนี้ กลยุทธ์พวกแก๊งคอลเซ็นเตอร์เริ่มเปลี่ยนไป เนื่องจากมีการประชาสัมพันธ์เตือนภัยกันเยอะ โดยเฉพาะการลวงทำธุรกรรมหน้าตู้เอทีเอ็ม แต่ตอนนี้มิจฉาชีพเปลี่ยนมาสุ่มโทรศัพท์จากเบอร์บ้าน ทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และตามต่างจังหวัด เลือกลวงเหยื่อที่เป็นคนสูงอายุ ใช้จิตวิทยาหว่านล้อมต่างๆ นานา บ้างบอกหลานถูกตำรวจจับเรื่องยาเสพติด ต้องโอนเงินมาให้ด่วน ต้องรีบไปถอนเงินจากธนาคาร แล้วไปฝากเงินอัตโนมัติตามแผนที่มิจฉาชีพวางไว้ จึงอยากให้บุตรหลานที่เคยถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์โทรศัพท์มาหา ช่วยอธิบายให้ผู้สูงอายุทราบก่อนตกเป็นเหยื่อ" พ.ต.อ.พันธนะ นุชนารถ ผกก.3 กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว แนะนำ

วันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

นศ.สาวร้องผกก.ถูกสิบเวรลวนลาม

นศ.สาวโชคร้ายซ้ำซาก ถูกแท็กซี่ปล่อยลงข้างทางก่อนถูกมิจฉาชีพชิงทรัพย์ จนต้องขอเงินจากผู้สัญจรไปมา แล้วเข้าแจ้งความตำรวจ สน.โคกคามยังถูกสิบเวรหน้าห้องขังบีบแตร ชวนไปหลับนอน สุดท้ายต้องเข้าร้องขอความเป็นธรรมจากผกก.
เมื่อเวลา 14.00 น.วันที่ 27 ก.ค น.ส.เอ(นามสมมุติ) อายุ 25 ปี นักศึกษาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ. สราวุธ จินดาคำ ผกก.สน.โคกคราม พ.ต.ท.ภูเบส เส้นขาว รองผกก.สส. พ.ต.ท.ภิเษก บุญจันทร์ พงส.(สบ 3) เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจตำแหน่งสิบเวรห้องขัง สน.โคกคราม ในข้อหาลวนลามและกระทำอนาจารโดยน.ส.เอ ให้การว่าเมื่อเวลาประมาณ 21.00 น. ได้เดินทางจากย่านรังสิต เพื่อกลับบ้านที่บริเวณอ่อนนุช จึงเรียกแท็กซี่ไม่ทราบสี-ทะเบียนมาให้ไปส่ง เมื่อรถแท็กซี่คันดังกล่าวแล่นมาถึงบริเวณถนนเลียบทางด่วนรามอินทรา ก็ปล่อยให้ตนลงข้างทางโดยอ้างว่าต้องรีบนำรถไปส่ง ทำให้ตนถูกคนร้ายขับขี่รถจยย. กระชากกระเป๋าสะพายซึ่งภายในมีเงินสด 300 กว่าบาท และโทรศัพท์มือถือ 2 เครื่องหลบหนีไป จึงขอความช่วยเหลือคนที่อยู่บริเวณป้ายรถประจำทางได้เงิน 100 บาท แล้วเรียกแท็กซี่อีกคันมาแจ้งความ เมื่อมาถึงสน.พนักงานสอบสวนได้บอกให้ตนนั่งรอในห้อง แต่อากาศภายในเย็นจึงได้ออกไปรอด้านนอก ก่อนมีตำรวจอีกนายเดินออกมาเรียกให้เข้าไปนอนในห้องสิบเวรหน้าห้องขังก่อนจะเผลอหลับไป จากนั้นรู้สึกมีคนมาลูบบริเวณหน้าอกและหน้าขาจึงสะดุ้งตื่น พบตำรวจคนเดียวกับที่เรียกเข้ามาในห้องซึ่งจำหน้าได้อย่างแม่นยำลงมือลวนลาม และชวนให้ไปหลับนอนด้วยแต่ตนได้ปฏิเสธไป พอเช้าจึงรีบเดินทางกลับก่อนเข้าแจ้งความ
ด้าน พ.ต.อ.สราวุธ กล่าวว่า ได้นำตัวผู้เสียหายไปชี้ภาพถ่ายตำรวจ พบผู้เสียหายชี้ภาพ ด.ต.สุเทพ เปรมปรีดา สิบเวรหน้าห้องขัง เมื่อโทรศัพท์สอบถามไปยัง ด.ต.สุเทพ เจ้าตัวให้การปฏิเสธ จึงต้องผู้นัดผู้เสียหายมาชี้ตัวตำรวจทุกนายอีกครั้งว่าเป็นใครกันแน่ เบื้องต้นได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงแล้ว หากผู้ถูกกล่าวกากระทำผิดจริงก็จะถูกดำเนินคดีอาญาและวินัย ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิด พบผู้เสียหายลงจากแท็กซี่ด้านหน้า สน.โคกคราม เวลา 03.07 น.วันที่ 25 ก.ค. เห็นผู้เสียหายกับ ด.ต.สุเทพ ซึ่งเข้าเวรสิบเวรขณะนั้นพูดคุยกัน ทั้งนี้ในจุดที่อ้างว่ามีการทำอนาจาร ไม่มีกล้องวงจรปิดติดตั้งอยู่ แต่จากภาพปรากฏจะเห็นว่ามีตำรวจเดินผ่านไปมาที่หน้าห้องสิบเวรหลายรอบ และผู้เสียหายเองก็เดินออกมาจากห้องสิบเวรมานั่งที่โซฟา ก่อนจะเข้าไปนั่งเล่นที่ห้องสอบสวนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จากนั้นเวลาประมาณ 06.30 น. ผู้เสียหายจึงเดินทางกลับ.

วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

บทความ การเผยแพร่ภาพพระบรมฉายาลักษณ์

บทความ การเผยแพร่ภาพพระบรมฉายาลักษณ์
การนำพระบรมฉายาลักษณ์ มาเผยแพร่ โดยไม่ได้รับการขออนุญาตอย่างถูกต้องนั้น
๑. การนำมาเผยแพร่
การนำภาพพระบรมฉายาลักษณ์ มาเผยแพร่นั้น ต้องได้รับการอนุญาตอย่างถูกต้องในทุกกรณี ไม่ว่าภาพนั้นจะถ่ายโดยใคร หรือสำนักข่าวองค์กรใด
การขออนุญาต และบางกรณี อาจจะเป็นพระบรมราชานุญาต หรือพระราชานุญาต ตามลำดับนั้น อยู่ในการจัดการของ สำนักราชเลขาธิการ ซึ่งขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรีโดยตำแหน่ง
ทุกท่านสามารถทำเรื่องขอได้
การพิจารณา ก็มีเป็นไปตามลำดับชั้น การจะให้หรือไม่ให้ หรือพระราชทาน หรือไม่พระราชทาน นั้นแล้วแต่ความสมควร
ไม่มีการรับรองว่าขอแล้วต้องได้
แต่ที่ผ่านมาก็ปรากฏว่ามีการปฏิเสธน้อยครั้งมาก ถ้า ไม่ได้เป็นไปเพื่อ การค้า, การหาเสียง ,การแอบอ้างอื่นๆ
โดยทั่วไปการถ่ายภาพนั้นภาพย่อมเป็นของผู้ถ่ายหรือของต้นสังกัด แล้วแต่ตกลงกัน
แต่กรณีภาพพระบรมฉายาลักษณ์นี้ การได้รับอนุญาตให้ถ่าย กับการนำลงเผยแพร่ เป็นอีกกรณี
ไม่ใช่ว่าได้รับอนุญาตให้ถ่าย แล้วจะนำไปเผยแพร่ได้ตามใจชอบ
กรณี สำนักข่าวต่างๆ
สำนักพิมพ์ต่างๆจะมีกรอบในการปฏิบัติ กำหนดไว้อย่างชัดเจนแล้วว่าภาพใดบังควร หรือมิบังควร ซึ่งจะมีระเบียบปฏิบัติที่ต่างๆ ไป จาก
งานของช่างภาพอิสระ และ/หรือต้นสังกัดที่จะมารับงานในแต่ละครั้งเป็นกาลสมัย ซึ่งต้องขออนุญาตเป็นกรณีเฉพาะนั้นๆ
หรือเป็นงานพิธี / รัฐพิธีใด ที่บางต้นสังกัดเป็นเจ้าของงาน ก็เป็นที่ได้รับอนุญาตโดยอนุโลม แต่การตรวจสอบกล้องการระบุตัวของช่างภาพ รวมถึง
การนำภาพพระบรมฉายาลักษณ์ลงเผยแพร่ก็ย่อมอยู่ในเกณฑ์ปฏิบัติเดียวกัน
กรณี ภาพข่าว ประจำวัน ที่ลงภาพพระบรมฉายาลักษณ์ ตามหน้าหนังสือพิมพ์ นั้น ถือเป็นการรายงานข่าว ไม่ต้องขออนุญาต อีกครั้ง
อยู่ในดุลยพินิจของแต่ละสำนักพิมพ์ ต้นสังกัด/องค์กร ที่จะลงภาพข่าวอย่างสมพระเกียรติ
แต่ก่อนไปทำภาพข่าว จะมีการตรวจสอบอุปกรณ์ บุคคลที่จะถ่ายที่แต่ละสำนักส่งไป มีการกำหนดจุดที่ให้ถ่าย และภาพนั้นจะเป็นของ สำนักข่าวจะไม่ใช่ ของบุคคลนั้น
เพราะการอนุญาตเป็นการอนุญาตแก่องค์กร ยกเว้นได้รับอนุญาตส่วนตัว เป็นกรณีเฉพาะ หรือต้นสังกัด /องค์กร มีข้อตกลงกับผู้ถ่าย
แต่โดยรวม การนำภาพพระบรมฉายาลักษณ์ ไปใช้ในงานส่วนตัวนั้น
ก็ ย่อมต้องขออนุญาตอีกเช่นกัน ในสำนักพิมพ์บางแห่ง ไม่อนุญาตให้มีการใช้ภาพขององค์กร ในงานส่วนตัวใดๆ ของผู้ถ่ายเลย
และ ถือเป็นความผิดร้ายแรง ภายในองค์กรแห่งนั้นๆด้วย
อันนี้แตกต่างกันไปตามแต่ละองค์กร ที่บางแห่งอาจอนุโลม อนุญาต ก็เป็นไปได้
อย่างไรก็ตาม อาจมีผู้สงสัยว่า หนังสือ นิตยสาร บางฉบับ
หรือทาง กทม. ที่มีการนำภาพพระบรมฉายาลักษณ์ขึ้นปก หรือนำติดไว้ตามที่ต่างๆนั้น ทำได้อย่างไร
ทางเจ้าหน้าที่ของสำนักราชเลขาธิการ ได้ ให้ข้อมูลว่า ได้มีการขออนุญาต อย่างถูกต้อง ในทุกครั้ง
นิตยสารบางฉบับขออนุญาต (และบางครั้งได้รับเป็นพระบรมราชานุญาต แล้วแต่กรณี ) ในทั้งปีเลย ก็มี
กรณีไม่ใช่ภาพข่าวประจำวัน เช่นการลงปกนิตยสาร ที่เป็นกาลสมัยเฉพาะ เช่นวันสำคัญต่างๆ ต้องขออนุญาต เป็นการเฉพาะนั้นๆ ทุกครั้ง
การลงภาพพระกรณียกิจ จากสำนักพิมพ์ต่างๆ ไม่จำต้องขออีก แต่ความสมควรในการนำเสนอภาพอยู่ในความรับผิดชอบของ บก
๒. ความผิด
การนำมาเผยแพร่และมีความผิดนั้น สำนักราชเลขาธิการ จะพิจารณา หลักสำคัญดังนี้
-เพื่อการค้า หรือมีผลประโยชน์ที่ไม่ได้รับการอนุญาตถูกต้อง
-เพื่อการหาเสียง หรืออวดอ้างอย่างอื่นๆ
-การนำไปสู่การดูหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
-อื่นๆ
จะเห็นได้ว่า มีช่องว่างในปฏิบัติอยู่ เช่น ที่มีการกระทำโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์นั้น
และมีการเผยแพร่กันไป แต่ยังไม่เข้าข่ายความผิดใหญ่ๆ สามประการนั้น
และ ถ้าทำไปอย่างสมควร เพื่อเทิดทูน หรือเพื่อการแสดงถึงความจงรักภักดี และมีการจัดวางอย่างสมควร แล้ว ก็คงไม่มีการดำเนินการใด
จึงอาจจัดว่า เป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง คือไม่ขออนุญาต แต่ก็ไม่ใช่การกระทำที่ไม่บังควร
ตัวอย่างเช่น การทำหน้าเว็บพิเศษ เพื่อแสดงถึงความเทิดทูน พระองค์ท่านเป็นต้น
อาจไม่ได้ขออนุญาต อย่างถูกต้อง แต่ก็แสดงถึงเจตนาแห่งความจงรักภักดี
อย่างนี้ ถึงจะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่ได้ทำเรื่องให้ถูกต้อง ก็มักจะไม่มีการดำเนินการใด ถ้าลงภาพอย่างสมพระเกียรติ
ภาพที่ไม่สมควร
ได้แก่ ภาพในบางพระอิริยาบถต่างๆ การทำเอฟเฟค ต่างๆ ในพระบรมฉายาลักษณ์ การแต่งภาพต่างๆ ซึ่งต้องมีการอนุญาตเป็นการเฉพาะ
การเขียน ตัวอักษร หรือตัวหนังสือใดๆ ลงในพระบรมฉายาลักษณ์ โดยไม่สมควร
เช่น การลงชื่อว่าภาพถ่ายโดยใครลงในพระบรมฉายาลักษณ์ เป็นการไม่สมควรอย่างยิ่ง
เพราะอาจมองได้ว่า เป็นการโอ้อวดได้
แต่การเขียนบรรยาย การกรองใช้ถ้อยคำอื่นๆ อาจกระทำได้ ตามสมควร
อย่างไรก็ตามทั้งหมดอยู่ในดุลยพินิจ ของผู้นำลงเผยแพร่
ซึ่งแต่ละครั้ง อาจได้รับการพิจารณาจากสำนักราชเลขาธิการได้แตกต่างกันไป
(การเขียน ชื่อผู้ถ่ายลงในกรอบ ที่อยู่นอกภาพ ไม่ถือว่า ผิด
แต่ทางเจ้าหน้าที่สำนักราชเลขาธิการ พิจารณาว่าไม่น่าจะสมควร ควรที่จะลงชื่อผู้ถ่าย ไว้
เป็นข้อความต่างหาก เบื้องล่างลงมา
ไม่รวมอยู่ในบริเวณนั้น แต่ย้ำว่า ไม่นับเป็นความผิดอะไร
อยู่ที่ดุลยพินิจ )
การถ่ายภาพพระองค์ท่าน จากเลนส์ขยายกำลังสูง ก็อาจกระทำได้
แต่การนำภาพลง นั้น และหรือ พิจารณาว่ามุมภาพเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม นั้น
ก็รวมพิจารณาในหลักการเดียวกันข้างต้น
เช่นแม้ อยู่ในเขตที่กำหนด ให้ถ่ายได้มุมภาพ ที่กำหนด แต่ ได้บาง พระอิริยาบถ ก็ไม่บังควรเช่นกัน
ดังนั้น การพิจารณานั้น ทางสำนักราชเลขาธิการจะ ดูหลายๆอย่าง แต่ที่สำคัญ ดูที่เจตนาเป็นหลัก
การละเมิด
ดูที่เจตนาของผู้กระทำ ก็ทราบได้โดยง่ายแล้ว ว่าจงใจ ละเมิด หรือทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์

ก. การขายภาพ
การทำเพื่อการค้านั้น ผิดชัดเจน
(ที่ถูกคือต้องขอก่อน และ มีการผลประโยชน์ที่ได้ ไปใช้ในทางที่ควร สามารถตรวจสอบได้)
แต่การเอาผิดนั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่ง คือต้องมีองค์ประกอบความผิดชัดแจ้ง
เช่นการนำภาพในหลวง ออกมาใส่กรอบขาย อย่างนี้ไม่สมควร อย่างแน่นอน
แต่ในความเป็นจริง มีการอ้างข้อกม. เพื่อ หนีความผิด
คือ อ้างว่า ขายกรอบ ส่วนภาพพระบรมฉายาลักษณ์นั้นไม่ได้ขาย
ซึ่งรู้ทั้งรู้ แต่ ด้วยความกรุณาต่อพสกนิกร อันล้นพ้นของพระองค์ท่าน
ทางสำนักราชเลขาธิการก็ คงไม่ดำเนินการต่อ
คือมองได้หลายแง่ ในเรื่องละเอียดอ่อนเช่นนี้ .........
ข. การทำเพื่อเทิดทูน แสดงความจงรักภักดี โดยจัดเป็นหน้าพิเศษ ตามเว็บต่างๆ หรือตามนิตยสารต่างๆ
ผิดแน่นอน แต่ ถ้ากระทำอย่างสมควรอย่างที่กล่าวข้างต้น ทางเจ้าหน้าที่ก็คงไม่ดำเนินการใด
ข้อระวัง
ภาพที่ได้มานั้น อาจมีคำว่า ภาพพระราชทาน หรือโดยพระบรมราชานุญาต ติดมา
ตรงนี้ถ้า ติดคำนี้มา จะเป็นคดีอาญา ที่มีโทษรุนแรง เพราะ มิได้รับอนุญาต ตามคำนั้นๆ
ดังนั้น ตรงนี้ ผู้ดูแลเว็บหลายๆแห่ง และนิตยสารต่างๆ ควรคำนึง
ค. ประเด็น มีผู้ถาม เรื่องการเผยแพร่ภาพพระบรมฉายาลักษณ์ ทางอีเมล์
เป็นการส่งในทางส่วนตัว ถ้าภาพนั้นไม่แพร่ไปทางสาธารณะ
และเป็นภาพที่ไม่สมควร ( กล่าวข้างต้นแล้ว) ก็ไม่มีความผิดอะไร แต่ถ้าผู้รับ เห็นว่าไม่สมควรสามารถแจ้งเจ้าพนักงานตาม กม. ได้
ซึ่งก็จะพิจารณาไปตามที่กล่าวมาข้างต้น
ย้ำว่า ไม่ใช่ว่า พิจารณา ว่าภาพนั้นๆ ถ่ายโดยรับอนุญาต หรือไม่อย่างเดียว
แต่พิจารณารวมไปถึง การได้รับอนุญาตให้เผยแพร่ได้ ด้วย เป็นหลัก
และถึงได้รับอนุญาตให้เผยแพร่ได้ แต่ความสมควรของภาพนั้นๆ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
การพิจารณา จึงต้องใช้ดุลยพินิจในหลายๆด้านอย่างมาก
ตำรวจรวบทันควัน มือแทงหนุ่ม 19 หมกห้องพักที่แท้เพื่อนร่วมวงเหล้า สาเหตุจากแค่มีปากเสียงจึงต้องตาย
จากกรณีเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งจากนายเอก (นามสมมุติ) อายุ 19 ปี ว่าพบนายโอภากร วิทยาสิงห์ อายุ 19 ปี เพื่อนร่วมงานถูกคนร้ายกะหน่ำแทงจนเสียชีวิต ภายในห้องพัก เลขที่ 5615 ชั้น 5 กอล์ฟแมนชั่น หมู่ 17 ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เร่งสืบสวนหาหลักฐานในที่เกิดเหตุ โดยกล้องวงจรปิดสามารถจับภาพคนร้ายที่ใช้ผ้าคลุมตัวปิดบังใบหน้าไว้ได้ ว่าเข้าออกในเวลาใกล้เคียงกับช่วงเกิดเหตุ ตามข่าวที่ได้เสนอไปแล้วนั้น
ต่อมาเมื่อเวลา 12.00 น. วันเดียวกัน พ.ต.อ.สุรศักดิ์ ขุนณรงค์ รอง ผบก.ภ.จว.ปทุมธานี รักษาการแทน ผกก.สภ.คลองหลวง จ.ปทุมธานีพร้อมพวกได้จับกุม นายเอก (นามสมมุติ) อายุ 19 ปี ภูมิลำเนาเดิม จ.สระแก้ว ซึ่งเป็นผู้พบศพคนแรก โดยเจ้าหน้าที่พบพิรุธในคำให้การของผู้ต้องหาหลายจุด จึงทำการ สอบเค้นอยู่นานกว่า 2 ชั่วโมงจนนายนทียอมรับสารภาพว่าเป็นผู้ลงมือก่อเหตุฆ่านายโอภากรจริง โดยสาเหตุที่ลงมือแทงนายโอภากร เนื่องจากโกรธแค้นที่ถูกผู้ตายด่าว่าเสียหายไปถึงบุพการี จึงลงไปนำมีดปลอกผลไม้จากห้องพักของตนกลับมาที่ห้องผู้ตายอีกครั้ง แต่ถูกผู้ตายชกต่อยทำร้ายร่างกายก่อนจึงใช้มีดที่พกมากระหน่ำแทงไม่ยั้งจนสิ้นใจคามือ แล้วโยนมีดทิ้งไว้ด้านหลังแมนชั่น จากนั้นจึงกลับมาที่ห้องพักตนเอง จนกระทั่งเวลา 06.30 น. จึงขึ้นไปที่ห้องนายโอภากรฯ แล้วทำทีโทรบอกเพื่อนร่วมงานและแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า พบนายโอภากรฯ ถูกแทง เบื้องต้นเจ้าหน้าจึงควบคุมตัว ส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนต่อไป.
ราชพาหนะ - เครื่องบินโบอิ้งพระราชพาหนะ ลำที่ 2 ไปจอดยังสนามบินมิวนิก ประเทศเยอรมนี เพื่อทดแทนลำแรกที่ถูกอายัดไว้ ล่าสุดบริษัทวาลเทอร์ บาว เคลื่อนไหวเพื่ออายัดเครื่องบินลำใหม่นี้ด้วย

สื่อต่างประ เทศตีข่าวบริษัทเยอรมันอาละวาดไม่เลิก เตรียมจะอายัดเครื่องบินลำที่ 2 ของไทย ระบุมาจอดอยู่ที่เมืองมิวนิกแล้ว เพื่อทดแทนโบอิ้ง 737 ที่ถูกอายัดไปแล้ว ทางด้านอัยการสูงสุดของไทยยัน ประสานให้เยอรมันทราบแล้ว เป็นเครื่องบินส่วนพระองค์ "มาร์ค"โวยไม่มีเหตุผลจะมาอายัดเครื่องบินอีกลำ เผยฝ่ายไทยเตรียมดำเนินการทางกฎหมายกับ"วาลเทอร์ บาว" ลักษณะใช้สิทธิ์ไม่สุจริต "ดอนเมืองโทลล์เวย์"ออกแถลงการณ์ ชี้บริษัท ไม่ได้ทำผิด ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการอายัดโบอิ้ง ของ"วาลเทอร์ บาว" ถ้าถูกกรมทางหลวงฟ้องร้อง ถือว่าไม่เป็นธรรม
เมื่อวันที่ 25 ก.ค. รอยเตอร์รายงานบทสัมภาษณ์นายแวร์เนอร์ ชไนเดอร์ เจ้าหน้าที่พิทักษ์ทรัพย์ของบริษัทวาลเทอร์ บาว (Walter Bau) ซึ่งมีข้อพิพาททางธุรกิจกับรัฐบาลไทย ที่เผยแพร่โดยหนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ บิลด์ อัม ซอนน์ทาก (Bild am Sonntag) ของเยอรมนี ระบุว่า เจ้าหน้าที่พิทักษ์ทรัพย์ บริษัทวาลเทอร์ บาว เตรียมดำเนินการอายัดเครื่องบินลำที่ 2 ของ ไทย
"เรากำลังพิจารณาขั้นตอนต่อไปกับกรณีที่เกิดขึ้น รวมถึงการอายัดเครื่องบินลำที่ 2 ของไทยด้วย" นายชไนเดอร์ กล่าว
นอกจากนี้ หนังสือพิมพ์ บิลด์ อัม ซอนน์ทาก ยังรายงานด้วยว่า เครื่องบินลำที่ 2 ของไทย บินถึงเมืองมิวนิกแล้ว เพื่อนำไปแทนที่เครื่องบินโบอิ้ง 737 ที่ถูกอายัดไปก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ สัปดาห์ที่ผ่านมาศาลเยอรมัน ได้มี คำสั่งให้ไทยวางเงินประกันจำนวน 20 ล้านยูโร หรือราว 850 ล้านบาท เพื่อแลกกับเครื่องบินโบอิ้ง 737 ที่ถูกอายัดไว้ ตามการยื่นคำร้องของบริษัทวาลเทอร์ บาว แต่รัฐบาลไทยปฏิเสธที่ จะวางเงินประกันดังกล่าว พร้อมยืนยันว่าเครื่องบินโบอิ้ง 737 ไม่ใช่ทรัพย์สินของรัฐบาลไทย
นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุด เปิดเผยที่ จ.ภูเก็ต กรณีที่มีการนำเสนอข่าวว่าจะมีการอายัดเครื่องบินอีกหนึ่งลำว่า เป็นเรื่องของคนมืออยู่ไม่สุข ยืนยันว่ายังไม่มีการยึดเครื่องบินลำที่ 2 แต่อย่างใด และได้มีการประสานไปกับทางทนายความที่ทำหน้าที่อยู่ที่เยอรมัน ชี้แจงไปยังหน่วยงานบังคับคดีของเยอรมันแล้วว่าเครื่องบินลำดังกล่าวเป็นเครื่องบินส่วนพระองค์ ซึ่งมีหลักฐานการซื้อขายชัดเจน ส่วนของเครื่องบินส่วนพระองค์โบอิ้ง 737 ลำแรกที่มีการอายัดไว้นั้น ถือว่าการพิจารณายังไม่สิ้นสุด โดยศาลเยอรมนีมีคำสั่งเบื้องต้น เชื่อว่าเครื่องบินสัญชาติไทยที่ถูกอายัดอยู่ เป็นเครื่องบินที่ไม่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลไทย ซึ่งจะมีการพิจารณาของศาลอีกครั้ง คาดว่าจะเป็นการพิจารณาอย่างเต็มรูปแบบ ในเดือนส.ค.นี้
เมื่อเวลา 10.45 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ ถึงกรณีสื่อมวลชนของประเทศเยอรมนี ระบุว่าจะมีการอายัดเครื่องบินโบอิ้ง 737 ลำที่ 2 ที่จอดอยู่ท่าอากาศยานของเยอรมนีว่า ไม่มีเรื่องนี้ นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุด ชี้แจงเรื่องนี้แล้วเมื่อช่วงเช้าวันนี้ และไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะอายัดเครื่องบินลำดังกล่าว เพราะเป็นเครื่องบินส่วนพระองค์ ไม่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล และคดีทั้งหมดเป็นเรื่องของบริษัท วาลเทอร์ บาว กับรัฐบาลไทย ซึ่งอัยการสูงสุดกำลังเตรียมยื่นอุทธรณ์ อีกทั้งมีข้อมูลที่จะใช้ดำเนินการทางกฎหมายกับบริษัทนี้ต่อไปด้วย
ผู้สื่อข่าวถามว่า ถ้ายังมีความพยายามอายัดเครื่องบินของรัฐบาลไทยอย่างนี้ จะเกิดปัญหากับเครื่องบินของการบินไทยที่บินไปเยอรมนีหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า จากการสอบถามไปนั้น เห็นว่าเครื่องบินของการบินไทยไม่น่ามีปัญหา เพราะเป็นของบริษัท และอัยการสูงสุดดูเรื่องนี้ด้วย
เมื่อถามว่าวาลเทอร์ บาว จะอ้างได้หรือไม่ว่าของการบินไทยถือเป็นของรัฐบาลไทย เพราะรัฐบาลไทยถือหุ้นใหญ่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ต้องมาว่ากันที่เรื่องหุ้น แต่คิดว่าไม่มีปัญหา และขอย้ำว่าคดีนี้ยังไม่เป็นที่สิ้นสุด ซึ่งอัยการสูงสุดยืนยันกับตนว่าขณะนี้มีข้อมูลเกี่ยวกับการใช้สิทธิ์ของวาลเทอร์ บาวที่ไม่สุจริต และอัยการ สูงสุดกำลังเตรียมการด้านกฎหมายไปได้ร้อยละ 90 แล้ว ซึ่งเราจะดำเนินการกับบริษัทนี้ได้โดยไม่ต้องรอให้คดีที่เยอรมนีจบก่อน โดยคาดว่าอัยการสูงสุดจะพิจารณารูปแบบการดำเนินการกับบริษัทดังกล่าวเสร็จภายในสัปดาห์นี้ กรณีนี้แยกจากการยื่นอุทธรณ์ต่ออนุญาโตตุลาการที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ทั้งนี้อัยการสูงสุดน่าจะมารายงานเรื่องการดำเนินการกับบริษัทดังกล่าวได้ภายในสัปดาห์นี้ ซึ่งตนจะสอบถามถึงเรื่องของเวลาและรูปแบบอีกครั้ต่อข้อถามว่าขอบเขตจะจำกัดอยู่แค่บริษัทวาลเทอร์ บาว หรือรวมถึงบริษัท ดอนเมืองโทลล์เวย์ ที่ต้องมารับผิดชอบด้วยหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า น่าจะแค่วาลเทอร์ บาว เพราะเป็นเรื่องการใช้สิทธิ์ของเขา ซึ่งเกี่ยวข้องความสัมพันธ์ระหว่างกันของ 2 บริษัทนี้กับตัวสัญญาทั้งหมดที่จะเป็นจุดที่ทำให้มีการใช้สิทธิ์ ส่วนเนื้อหาจะพันไปถึงใครบ้างนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
วันเดียวกัน บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) หรือดอนเมืองโทลล์เวย์ ออกแถลงการณ์ว่า ขอเรียนชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีที่ปรากฏเป็นข่าวในสื่อต่างๆ ที่ว่ากรมทางหลวงจะฟ้องร้องดอนเมืองโทลล์เวย์นั้น ไม่เป็นธรรมต่อบริษัทฯ ดังนี้ ดอนเมืองโทลล์เวย์เป็นนิติ บุคคลไทย ซึ่งกลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่ฝ่ายไทยของดอนเมืองโทลล์เวย์กับบริษัท Walter Bau AG มีความขัดแย้งด้านการบริหารงานดอนเมืองโทลล์ เวย์ในอดีตมาโดยตลอด เพราะดอนเมืองโทลล์ เวย์ไม่ประสงค์จะฟ้องร้องกรมทางหลวงในฐานะคู่สัญญาสัมปทานฯ แต่บริษัท Walter Bau AG มีความประสงค์ที่จะให้ดอนเมืองโทลล์ เวย์ใช้สิทธิ์ฟ้องร้องกรมทางหลวง แต่ดอนเมืองโทลล์เวย์ปฏิเสธ เพราะผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ไม่ เห็นด้วย และบริษัท Walter Bau AG ก็ไม่สามารถดำเนินการในนามดอนเมืองโทลล์เวย์ได้ จึงใช้สิทธิของตนในฐานะนักลงทุนเยอรมัน ยื่นข้อเรียกร้องต่ออนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ โดยอ้างว่าตนเป็นผู้ลงทุนที่ได้รับความเสียหายจากการกระทำของรัฐบาลไทยในการลงทุนโครง การทางยกระดับดอนเมืองที่ดอนเมืองโทลล์เวย์เป็นผู้รับสัมปทาน โดยในการยื่นฟ้องรัฐบาลไทยดังกล่าว บริษัท Walter Bau AG ได้อ้างสิทธิตามสนธิสัญญาคุ้มครองการลงทุนไทย-เยอรมัน
นอกจากนี้ การที่ข่าวนี้ได้นำเสนอต่อไปว่า กรมทางหลวงจะพิจารณาฟ้องร้องดอนเมืองโทลล์ เวย์นั้น จะไม่ส่งผลดีใดๆ ต่อภาครัฐ เพราะไม่สามารถทำให้คดีฟ้องร้องระหว่างบริษัท Walter Bau AG กับรัฐบาลยุติลงได้ รวมทั้งไม่สามารถทำให้ค่าเสียหายที่คณะอนุญาโตตุลาการได้ตัดสิน ให้รัฐบาลไทยชำระให้แก่ บริษัท Walter Bau AG ประมาณ 29 ล้านยูโรลดลงได้ นอกจากนั้น ดอนเมืองโทลล์เวย์มิได้กระทำผิดในเรื่องใด และไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง หรือได้รับประโยชน์ใดๆ จากคดีที่บริษัท Walter Bau AG ฟ้องร้องรัฐบาลไทย

รวมข้อปฏิบัติเกี่ยวกับการใช้ การชัก หรือการแสดงธงชาติ

รวมข้อปฏิบัติเกี่ยวกับการใช้ การชัก หรือการแสดงธงชาติ

ตามนัย พระราชบัญญัติธง พ.ศ.2522 ประมวลกฎหมายอาญา ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการใช้ การชัก หรือการแสดงธงชาติและธงของต่างประเทศในราชอาณาจักร พ.ศ. 2529 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2546 มติคณะรัฐมนตรี วันที่ 26 พฤษภาคม 2546 และมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 29 กรกฎาคม 2546 ได้กำหนดข้อปฏิบัติเกี่ยวกับการใช้ การชัก หรือการแสดงธงชาติที่สำคัญ ดังนี้

1.ขนาดและสีธงชาติ

มีขนาดเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 6 ส่วน ยาว 9 ส่วน ด้านกว้างแบ่งเป็น 5 แถบ ตลอดความยาวของผืนธง ตรงกลางเป็นแถบสีน้ำเงินแก่ กว้าง 2 ส่วน ต่อจากแถบสีน้ำเงินแก่ออกไปทั้งสองข้างเป็นแถบสีขาวกว้างข้างละ 1 ส่วน ต่อจากแถบสีขาวออกไปทั้งสองข้างเป็นแถบสีแดงกว้างข้างละ 1 ส่วน

2. การแสดงธงชาติ

หมายความว่า การที่บุคคลหรือคณะบุคคลได้ทำหรือสร้างให้ปรากฏเป็นรูปร่างไม่ว่าจะเป็นวัตถุ รูป ภาพ หรือสสาร ที่มีลักษณะเป็นสีที่มีความหมายถึงธงชาติ หรือแถบสีธงชาติ

3. ลักษณะธงชาติที่นำมาใช้

ธงชาติที่จะนำมาใช้ ชัก หรือแสดง ต้องมีสภาพดีเรียบร้อย ไม่ขาดวิ่น และสีไม่ซีดจนเกินควร

4. ขนาดเสาธงและผืนธงชาติ

เสาธงชาติจะมีขนาดสูง ต่ำ ใหญ่หรือเล็กเพียงไร ควรจะอยู่ ณ ที่ใด และจะใช้ผืนธงขนาดเท่าใดนั้น ให้อยู่ในดุลพินิจของหัวหน้าส่วนราชการระดับกรม หรือผู้ปกครองสถานที่หรือเอกชนผู้ครอบครองอาคารสถานที่ จะพึงพิจารณาให้เหมาะสมเป็นสง่างามแก่อาคารสถานที่นั้นๆ

5. การประดับธงชาติและกำหนดเวลาชักธงชาติขึ้นและลง

5.1 เพื่อสร้างความรู้สึกนิยมและภาคภูมิใจในความเป็นชาติ อีกทั้งเป็นการเผยแพร่ธงชาติให้เป็นที่ปรากฏชินตาแก่ผู้พบเห็น คณะรัฐมนตรีได้กำหนดให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐประดับธงชาติไว้ในสถานที่อันควร ในบริเวณที่ทำการทุกวันและตลอดเวลา สำหรับภาคเอกชน และบ้านเรือนประชาชนโดยทั่วไปก็ให้อนุโลมดำเนินการไปในแนวทางเดียวกัน

5.2 นอกเหนือจากข้อ 5.1 ถ้าต้องมีการชักธงชาติขึ้นและลง ณ สถานที่ หรือบริเวณใด โดยปกติให้เป็นไปตามกำหนดเวลาดังต่อไปนี้
5.2.1 ชักขึ้นเวลา 08.00 นาฬิกา
5.2.2 ชักลงเวลา 18.00 นาฬิกา

5.3 สถานที่และยานพาหนะของฝ่ายทหาร การชักธงชาติขึ้นและลงให้ปฏิบัติตามระเบียบหรือข้อบังคับของทหาร

5.4 เรือเดินทะเล การชักธงชาติขึ้นและลง ให้ปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวเรือ

5.5 สถานที่ราชการพลเรือน ถ้าในบริเวณเดียวกันมีสถานที่ราชการหลายแห่งจะสมควรชักธงชาติ ณ ที่ใด ให้อยู่ในดุลพินิจของหัวหน้าหน่วยงานผู้ปกครองสถานที่นั้น ๆ

5.6 สถานที่ราชการฝ่ายพลเรือนที่ตั้งอยู่ในเขตพระราชฐาน การชักธงชาติโดยการจัดตั้งเสาธงชาติต่างหากจากตัวอาคาร ให้ได้รับความเห็นชอบจากเลขาธิการพระราชวัง

5.7 สถาบันการศึกษาในสังกัดหรือในความควบคุมของกระทรวงศึกษาธิการ ให้ชักธงชาติตามระเบียบที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด

5.8 เรือเดินในลำน้ำ ถ้าจะชักธงชาติให้ชักไว้ที่ท้ายเรือ

5.9 ที่สาธารณสถานและสถานที่ของเอกชน ถ้าจะชักธงชาติ ให้ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีโดยอนุโลม

6. วิธีการชักธงชาติ

6.1 ผู้มีหน้าที่ชักธงชาติ ต้องแต่งกายเรียบร้อย

6.2 เมื่อใกล้กำหนดเวลาชักธงขึ้น ให้เตรียมธงชาติผูกติดกับสายเชือกทางด้านขวาของผู้ชักธงให้เรียบร้อย

6.3 เมื่อถึงกำหนดเวลา ให้คลี่ธงชาติออกเต็มผืน แล้วดึงเชือกให้ธงชาติขึ้นช้า ๆ ด้วยความสม่ำเสมอ จนถึงสุดยอดเสาธง แล้วจึงผูกเชือกไว้ให้ตึง ไม่ให้ธงลดต่ำลงมาจากเดิม

6.4 เมื่อชักธงลงให้ดึงเชือกให้ธงชาติลงช้า ๆ ด้วยความสม่ำเสมอ และสายเชือกตึงจนถึงระดับเดิมก่อนชักขึ้น

6.5 ในกรณีที่มีการบรรเลงเพลงเคารพหรือมีสัญญาณให้การชักธงขึ้นและลง จะต้องชักธงชาติขึ้นและลงให้ถึงจุดที่สุด พร้อมกับจบเพลงหรือสัญญาณนั้นๆ

7. วันพิธีสำคัญที่ต้องชักธงและประดับธงชาติ
7.1 วันขึ้นปีใหม่ วันที่ 1 มกราคม 1 วัน
7.2 วันมาฆบูชา 1 วัน
7.3 วันพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และวันที่ระลึกมหาจักรีบรมราชวงศ์
วันที่ 6 เมษายน 1 วัน
7.4 วันสงกรานต์ วันที่ 13 เมษายน 1 วัน
7.5 วันฉัตรมงคล วันที่ 5 พฤษภาคม 1 วัน
7.6 วันพืชมงคล 1 วัน
7.7 วันวิสาขบูชา 1 วัน
7.8 วันอาสาฬหบูชา 1 วัน
7.9 วันเข้าพรรษา 1 วัน
7.10 วันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ วันที่ 12 สิงหาคม 1 วัน
7.11 วันสหประชาชาติ วันที่ 24 ตุลาคม 1 วัน
7.12 วันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วันที่ 5, 6 และ 7 ธันวาคม 3 วัน
7.13 วันรัฐธรรมนูญ วันที่ 10 ธันวาคม 1 วัน

นอกจากนี้สุดแต่ทางราชการจะประกาศให้ทราบเป็นครั้งคราว ส่วนงานพิธีอื่นๆ ตามประเพณีนิยม หากจะชักธงและประดับธงชาติก็ทำได้ แต่ต้องทำด้วยความเคารพ
8. การลดธงชาติครึ่งเสา

การลดธงชาติครึ่งเสากรณีใด เป็นเวลาเท่าใด ทางราชการจะประกาศให้ทราบเป็นคราว ๆ ไป ในทางปฏิบัติที่ผ่านมา การลดธงชาติครึ่งเสาจะกระทำในกรณีที่ประมุขหรือบุคคลสำคัญของประเทศต่างๆ เสียชีวิต โดยปกติทางราชการจะประกาศให้ลดธงชาติครึ่งเสาทั่วราชอาณาจักรเป็นเวลา 3 วัน

การลดธงชาติครึ่งเสาให้ปฏิบัติการเหมือนการชักธงขึ้นเช่นปกติ แต่เมื่อธงถึงยอดเสาแล้วจึงลดลงให้อยู่ในระดับความสูงประมาณ 2 ใน 3 ส่วนของความสูงของเสาธงนั้น และเมื่อจะชักธงลงให้ชักธงขึ้นจนถึงยอดเสาก่อน แล้วจึงชักธงลงเช่นเดียวกับเรื่องวิธีการชักธงชาติ
9. การทำความเคารพธงชาติ

9.1 เมื่อมีการชักธงชาติขึ้นและลง ให้แสดงความเคารพโดยการยืนตรง หันไปทางเสาธง อาคาร หรือสถานที่ที่มีการชักธงชาติขึ้นและลง จนกว่าจะเสร็จการ

9.2 ในกรณีที่ได้ยินเพลงชาติหรือสัญญาณการชักธงชาติ จะเห็นหรือไม่เห็นการชักธงชาติก็ตาม ให้แสดงความเคารพโดยหยุดนิ่งในอาการสำรวม จนกว่าการชักธงชาติหรือเสียงเพลงชาติ หรือสัญญาณการชักธงชาติจะสิ้นสุดลง

10. การดูแลรักษาธงชาติ
10.1 ให้หัวหน้าส่วนราชการ หัวหน้าหน่วยงานผู้ปกครองอาคารสถานที่ราชการหรือสถานที่ทำการของหน่วยงานของรัฐและเอกชนผู้ครอบครองอาคารสถานที่ที่มีการใช้ การชักหรือการแสดงธงชาติกวดขันดูแลให้มีการปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบโดยเคร่งครัด

10.2 ให้เจ้าหน้าที่หรือบุคคลผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในการใช้ การชัก หรือการแสดงธงชาติเก็บรักษาธงชาติไว้ด้วยความเคารพในสถานที่และที่เก็บอันสมควร

10.3 การเชิญธงชาติจากที่เก็บรักษาเพื่อนำไปใช้ ชัก หรือแสดง ในกรณีที่ธงชาติเป็นผืนผ้าให้เชิญไปในสภาพที่พับเรียบร้อย และด้วยอาการเคารพเมื่อถึงทีที่จะใช้หรือแสดงจึงคลี่ธงออกเพื่อใช้หรือแสดงต่อไป

10.4 การเชิญธงชาติจากที่ที่ใช้ ชัก หรือแสดง ไปเก็บไว้ ณ ที่เก็บรักษา ให้ดำเนินการในลักษณะเดียวกับที่กำหนดไว้ในข้อ 10.3

11. การประดับธงชาติคู่หรือร่วมกับธงอื่น
11.1 การประดับธงชาติคู่หรือร่วมกับธงอื่น ยกเว้นธงพระอิสริยยศจะต้องไม่ให้ธงชาติอยู่ในระดับต่ำกว่าธงอื่นๆ และโดยปกติให้จัดธงชาติอยู่ที่เสาธงแรกด้านขวา (เมื่อมองดูออกมาจากภายใน หรือจุดของสถานที่ที่ใช้ชัก แสดง หรือประดับธงเป็นหลัก)

11.2 การประดับธงชาติคู่กับธงอื่นในงานพิธีซึ่งมีแท่นหรือมีที่สำหรับประธาน ให้จัดธงชาติอยู่ด้านขวาของแท่นพิธีและธงอื่นอยู่ด้านซ้าย

11.3 การประดับธงชาติคู่กับธงอื่น เมื่อรวมกับธงชาติแล้วเป็นจำนวนคี่ ให้ธงชาติอยู่กลาง

11.4 การประดับธงชาติคู่กับธงอื่น เมื่อรวมกับธงชาติแล้วเป็นจำนวนคู่ ให้ธงชาติอยู่กลางด้านขวา

12. การประดับธงชาติคู่หรือร่วมกับพระพุทธรูปหรือพระบรมรูป

การประดับธงชาติร่วมกับพระพุทธรูปและพระบรมรูปในพิธีการต่างๆ ให้จัดธงชาติอยู่ด้านขวาของพระพุทธรูป พระบรมรูปอยู่ด้านซ้าย

13. การประดับธงชาติคู่หรือร่วมกับธงของต่างประเทศ
13.1 การประดับธงชาติคู่หรือร่วมกับธงของต่างประเทศ จะต้องเป็นไปในลักษณะที่เท่าเทียมกัน เช่น ขนาดและสีของธง และความสูงต่ำของธง เป็นต้น

13.2 ถ้าประดับหรือชักธงของต่างประเทศประเทศเดียว ต้องให้ธงชาติอยู่ด้านขวาของธงต่างประเทศ

13.3 ถ้าประดับธงของต่างประเทศเกินกว่าหนึ่งประเทศ เมื่อรวมกับธงชาติแล้วเป็นจำนวนคี่ ให้ธงชาติอยู่ตรงกลาง

13.4 ถ้าประดับธงของต่างประเทศเกินกว่าหนึ่งประเทศ เมื่อรวมกับธงชาติแล้วเป็นจำนวนคู่ ให้ธงชาติอยู่กลางด้านขวา

13.5 การประดับธงชาติในสถานที่ หรือมีข้อตกลงระหว่างประเทศ หรือประเทศภาคีกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น เช่น ให้ใช้เรียงตามลำดับอักษร หรือเรียงตามลำดับการเป็นสมาชิก ก็ให้ปฏิบัติตามข้อตกลงนั้น

13.6 การประดับธงชาติในการแข่งขันกีฬาระหว่างประเทศ โดยปกติให้เป็นไปตามระเบียบข้อบังคับของสมาคมกีฬาระหว่างประเทศ หรือตามหลักสากลที่ยอมรับกันในนานาอารยประเทศ

13.7 การประดับธงชาติคู่กับธงของต่างประเทศสำหรับรถยนต์ ให้ปักธงชาติไว้ทางด้านขวา และธงของต่างประเทศไว้ทางด้านซ้าย

13.8 ยานพาหนะอื่นให้ใช้ทำนองเดียวกับข้อ 13.7 เว้นแต่การประดับบนเรือให้เป็นไปตามธรรมเนียมประเพณีของชาวเรือ

14. การใช้ธงชาติกับผู้เสียชีวิต

14.1 การใช้ธงชาติประกอบเกียรติยศศพหรืออัฐิ ให้ใช้กับบุคคลดังต่อไปนี้
14.1.1 ประธานองคมนตรี
14.1.2 ประธานรัฐสภา
14.1.3 นายกรัฐมนตรี
14.1.4 ประธานศาลฎีกา
14.1.5 ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลนพรัตนราชวราภรณ์
14.1.6 ผู้ที่เสียชีวิตเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่สู้รบหรือต่อสู้ หรือช่วยเหลือการสู้รบ หรือต่อสู้ หรือเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ราชการ หรือช่วยเหลือราชการในการป้องกันอธิปไตย หรือรักษาความสงบเรียบร้อยของประเทศ หรือปราบปรามการกระทำผิดต่อความมั่นคงของรัฐ หรือปราบปรามการกระทำความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
14.1.7 ผู้ที่เสียชีวิตเนื่องจากได้แสดงความกล้าหาญ ช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ให้เป็นประโยชน์อย่างสำคัญแก่ทางราชการ โดยไม่เกรงภัยอันจะเกิดแก่ชีวิตของตน
14.1.8 บุคคลนอกจากข้อ 14.1.1 – 14.1.7 และเป็นผู้ที่ทางราชการเห็นสมควร

14.2 บุคคลตามข้อ 14.1.1 – 14.1.4 ต้องเป็นผู้เสียชีวิตในขณะดำรงตำแหน่ง

15. การใช้ธงชาติคลุมศพ

การใช้ธงชาติคลุมศพ ให้ใช้ในกรณี ดังนี้
15.1 ในพิธีรับพระราชทานน้ำอาบศพหรือพิธีรดน้ำศพ

15.2 ในพิธีปลงศพตามประเพณีของทหารเรือ

15.3 ในระหว่างการเคลื่อนย้ายศพเพื่อประกอบพิธีทางศาสนา

16. การใช้ธงชาติคลุมหีบศพ หรืออัฐิ

การใช้ธงชาติคลุมหีบศพหรืออัฐิ ให้ใช้ในกรณี ดังนี้
16.1 เมื่อเชิญหรือเคลื่อนย้ายศพหรืออัฐิ เพื่อประกอบพิธีรับพระราชทานน้ำอาบศพ รดน้ำศพ หรือบำเพ็ญกุศลตามพิธีทางศาสนา

16.2 ในระหว่างการประกอบพิธีทางศาสนา
16.3 ในระหว่างการตั้งศพเพื่อรับพระราชทานเพลิงศพประกอบการฌาปนกิจ หรือเคลื่อนย้ายศพไปประกอบพิธีฝัง

17. วิธีการใช้ธงชาติคลุมศพหรือหีบศพ
17.1 ปกติให้ใช้คลุมตามความยาวของธง โดยให้ด้านต้นของผืนธงอยู่ทางส่วนศีรษะของศพ และจะต้องปฏิบัติไม่ให้เป็นการเสื่อมเสียเกียรติแก่ธงชาติ

17.2 ห้ามมิให้วางสิ่งหนึ่งสิ่งใดลงบนธงชาติที่คลุมศพหรือหีบศพ

17.3 เมื่อจะรับพระราชทานน้ำอาบศพ บรรจุหรือฝังศพ ประชุมเพลิงศพตอนเผาจริงให้เชิญธงชาติที่คลุมศพหรือหีบศพพับเก็บให้เรียบร้อย โดยมิให้ส่วนหนึ่งส่วนใดของธงสัมผัสพื้น

17.4 ผู้ได้รับพระราชทานโกศหรือหีบหลวงประกอบเกียรติยศศพอยู่แล้ว ถ้ามีสิทธิใช้ธงชาติคลุมศพด้วย ให้กระทำได้โดยวิธีเชิญธงชาติในสภาพที่พับเรียบร้อยใส่พานตั้งไว้เป็นเกียรติยศ ที่หน้าที่ตั้งศพเช่นเดียวกับการตั้งเครื่องยศและเครื่องราชอิสริยาภรณ์ แต่ต้องไม่ต่ำกว่าเครื่องยศและเครื่องราชอิสริยาภรณ์

17.5 ห้ามใช้ธงชาติหรือแถบสีธงชาติคลุมทับหรือตกแต่งโกศหรือหีบศพที่พระราชทานประกอบเกียรติยศศพ

18. การแสดงธงชาติที่สินค้า

การแสดงธงชาติไว้ที่สิ่งบรรจุ หีบห่อ สิ่งหุ้มห่อ สิ่งผูกมัด ผลิตภัณฑ์ หรือสินค้าใดๆ ที่มิได้มีลักษณะเป็นการเหยียดหยามต่อธงชาติ ประเทศไทยหรือชาติไทย ให้ทำได้ในกรณีดังต่อไปนี้
18.1 เป็นการแสดงธงชาติที่กระทำโดยส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ

18.2 เป็นการแสดงธงชาติที่กระทำโดยเอกชน เพื่อประโยชน์ทางการพาณิชย์ โดยได้รับความเห็นชอบจากส่วนราชการที่ได้รับมอบหมายจากกระทรวงพาณิชย์ หรือกระทรวงอุตสาหกรรมแล้วแต่กรณี โดยหลักเกณฑ์และวิธีการขอความเห็นชอบให้เป็นไปตามที่กระทรวงพาณิชย์หรือกระทรวงอุตสาหกรรมประกาศกำหนด

18.3 เป็นการแสดงธงชาติที่กระทำโดยเอกชนในกรณีอื่นๆ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี โดยได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการธงจะประกาศกำหนด

19. การกระทำอันเป็นการเหยียดหยามหรือไม่สมควรต่อธงชาติ
19.1 การกระทำอันเป็นการเหยียดหยามต่อธงชาติ ได้แก่ การกระทำต่อธงชาติรูปจำลองของธงชาติ หรือแถบสีธงชาติ ด้วยเจตนาเหยียดหยามประเทศชาติ เช่น ฉีกทำลาย ถ่มน้ำลายรด ใช้เท้าเหยียบ วางเป็นผ้าเช็ดเท้า ซึ่งเป็นการแสดงความดูถูกดูหมิ่นเหยียดหยามชาติไทย

19.2 การกระทำที่ไม่สมควรต่อธงชาติ รูปจำลองของธงชาติ หรือแถบสีธงชาติ เช่น

19.2.1 การประดิษฐ์รูป ตัวอักษร ตัวเลข หรือเครื่องหมายอื่นในผืนธงรูปจำลองของธง หรือแถบสีของธง

19.2.2 การใช้ ชัก หรือแสดงธง รูปจำลองของธง หรือแถบสีของธงอันมีลักษณะตามข้อ 19.2.1

19.2.3 การใช้ ชัก หรือแสดงธง รูปจำลองของธง หรือแถบสีของธงไว้ ณ สถานที่หรือวิธีอันไม่สมควร
19.2.4 การประดิษฐ์ธง รูปจำลองของธง หรือแถบสีธงไว้ ณ ที่หรือสิ่งใดๆ โดยไม่สมควร

19.2.5 แสดงหรือใช้สิ่งใด ๆ ที่มีรูปธง รูปจำลองของธง หรือแถบสีธงอันมีลักษณะตามข้อ 19.2.4

20. โทษ

การกระทำการต่อธงชาติโดยไม่ให้ความเคารพ มีความผิดและต้องรับโทษตามกฎหมาย ดังนี้
20.1 กระทำการใดๆ ต่อธง หรือเครื่องหมายอื่นใด อันมีความหมายถึงรัฐ เพื่อเหยียดหยามประเทศชาติ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา 118 แห่งประมวลกฎหมายอาญา)

20.2 กระทำการใดๆ ที่ไม่สมควรต่อธงชาติ รูปจำลองของธงชาติ หรือแถบสีของธงชาติ ตามข้อ 19.2.1 – ข้อ 19.2.5 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา 53 แห่ง พ.ร.บ. ธง พ.ศ. 2522)



ข้อมูลจาก :

สำนักงานเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ
สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี



Top

วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

High-speed trains collide in china.

ลุ้นตัดสินคดีตร.ฟ้องกราวรูดนายก-ผบ.ตร.

6 ปีที่รอคอยพนักงานสอบสวนลุ้นระทึก ศาลปกครองจะตัดสิน หลังฟ้องกราดรูดตั้งแต่นายก ,ผบ.ตร. สตช. ,ก.ตร. และ กตช.

วันที่ 24 ก.ค. พ.ต.อ.มานะ เผาะช่วย ประธานชมรมพนักงานสอบสวนฯ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวประจำกองบัญชาการตำรวจนครบาลว่า ในวันที่ 25 ก.ค. เวลา 13.00 น. ที่ศาลปกครองกลาง ถนนแจ้งวัฒนะ ศาลปกครองจะอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ ที่ 1927 / 2548 ที่ชมรมพนักงานสอบสวน ฟ้อง 1.สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) 2.ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) 3.คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) 4.นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้รักษาการตาม กม. 5.คณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (กตช.) เกี่ยวกับเรื่องสิทธิประโยชน์ของพนักงานสอบสวน การพัฒนาระบบงานสอบสวน ตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 โดยกฎหมายฉบับดังกล่าวบัญญัติชัดเจน ในเรื่องการได้รับการพิจารณาเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น
พ.ต.อ.มานะระบุต่อว่า ตำรวจฝ่ายพนักงานสอบสวนเกือบทุกคน ไม่มีใครอยากมาปฏิบัติหน้าที่ในสายงานสอบสวน เพราะงานสอบสวนเป็นงานยุ่งยากซับซ้อน ขาดความเจริญก้าวหน้า ขาดทั้งขวัญและกำลังใจ อีกทั้งยังมีโอกาสถูกฟ้องร้องสูง รวมทั้งมีโอกาสโดนร้องเรียนสูงมากกว่าสายงานอื่น ทางชมรมฯเลยได้ดำเนินการร้องทุกข์กรณีดังกล่าวต่อประธาน ก.ตร.สมัยนั้น (ปี 2548) แต่ถูกยกคำร้องทุกข์ไป ทางชมรมฯ จึงได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมจำเลยทั้ง 5 ต่อศาลปกครองกลาง โดยที่ชมรมฯได้ร้องขอสภาทนายความ แต่งตั้งทนายความฟ้องคดีแทน ในการพิจารณาคดีคู่ความมาเป็นเวลานาน 6 ปี ศาลปกครองจะอ่านคำพิพากษาในวันพรุ่งนี้ คาดว่าจะมีพนักงานสอบสวนไปร่วมรับฟังคำพิพากษาดังกล่าวเป็นจำนวนมาก.

ตำรวจรถไฟโชว์ผลงานจับ 2 หนุ่มนศ.ลอบขนยาบ้ากว่า 4 หมื่นเม็ดลงใต้

เมื่อเวลา 00.20 น.วันที่ 25 ก.ค. พล.ต.ต.วุฒิ วรรณพิรุณ ผบก.รฟ. พร้อมพวก ทำการตรวจค้นจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติด 2 ราย คือนายอภิรนันต์ อัครสืบสกุล อายุ 28 ปี นักศึกษามหาวิทยาลัยมีชื่อแห่งหนึ่ง อยู่บ้านเลขที่ 3/217 ซ.รามคำแหง 2 ซอย 23 แยก 7 แขวงดอกไม้ เขตประเวศ กรุงเทพ และ นายนุรดิน บาโด อายุ 29 ปี อาชีพทำสวนยางพารา อยู่บ้านเลขที่ 149 ม.4 ต.จะแนะ อ.จะแนะ จ.นราธิวาสพร้อมยาบ้า จำนวน 21 มัดๆละ 2,000 เม็ด รวม 42,000 เม็ด
โดยจับกุมได้บนขบวนรถไฟที่ 37 กรุงเทพ-สุไหงโกลกขณะเข้าจอดเทียบท่าที่สถานีรถไฟนครปฐม สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้รับรายงานว่าจะมีการลักลอบขนยาบ้ามากับขบวนรถดังกล่าวส่งไปยังภาคใต้ จึงเข้าตรวจค้นขบวนรถไฟทุกขบวนที่ล่องลงสู่ภาคใต้ พบผู้ต้องหาทั้ง 2 แสดงท่าทีพิรุธ จึงแสดงตัวเข้าตรวจค้นและจับกุมได้พร้อมของกลางดังกล่าว สอบสวนเบื้องต้นผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าได้รับค่าจ้าง 2 แสนบาทให้นำยาบ้าไปส่งต่อให้เอเย่นต์ที่สถานีรถไฟสุไหงโกลก แต่มาถูกจับกุมได้ก่อน เจ้าหน้าที่จึงแจ้งข้อหาครอบครองยาเสพติดประเภทที่1(ยาบ้า)เพื่อจำหน่าย ส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีต่อไป.

วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ปูนาขาเก

ข่าวเอเอฟพี - เอกสารความยาว 1,500 หน้าซึ่งเขียนโดยชายผู้ต้องสงสัยกราดยิงและวางระเบิดเมืองหลวงของนอร์เวย์บ่งชี้ว่า เขาวางแผนก่อวินาศกรรมมาตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วงปี 2009 เอกสารออนไลน์ฉบับนี้เป็นทั้งไดอารี, คู่มือทำระเบิด และบทความการเมือง ซึ่ง แอนเดอร์ส เบห์ริง บรีวิก สาธยายความเกลียดชังที่ตนมีต่อศาสนาอิสลาม, ลัทธิมาร์กซิสม์ และความปรารถที่จะเป็นอัศวินเทมพลาร์ (Knight Templar)
เอกสารชุดหนึ่งที่ใช้ชื่อว่า “ฤดูใบไม้ร่วง 2009 – ขั้นตอนการเปลี่ยนแปลง” เล่าถึงการที่เขาเปิดธุรกิจทำเหมืองและฟาร์มบังหน้า เพื่อเตรียมก่อเหตุโจมตีในครั้งนี้
“เหตุผลที่ตัดสินใจเช่นนี้ก็เพื่อสร้างฉากบังหน้าที่น่าเชื่อถือ ในกรณีที่ผมถูกจับฐานซื้อและลักลอบนำเข้าระเบิดหรือสารที่ใช้ทำระเบิด เช่น ปุ๋ย” เอกสารระบุ
เหตุกราดยิงที่ค่ายเยาวชนพรรคเลเบอร์บนเกาะอูโตยา ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 85 คน และก่อนหน้านั้นยังมีผู้เสียชีวิตอีก 7คนจากเหตุคาร์บอมบ์ถล่มอาคารสถานที่ราชการหลายแห่งในกรุงออสโล เมื่อวันศุกร์(22)
“ผมจะถูกตราหน้าว่าเป็นเดรัจฉานที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่เคยมีมาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2” ชายผู้เขียนเอกสารระบุ โดยบอกว่าแผนการที่เขาวางไว้เป็น “ปฏิบัติการอันทุกข์ทรมานเพื่อความเชื่อ” (Matyrdom Operation)
แม้จะใช้นามแฝงว่า แอนดรูว์ เบอร์วิก ทว่าผู้เขียนก็ยังอธิบายที่มาของชื่อ แอนเดอร์ส เบห์ริง บรีวิก ซึ่งเป็นชื่อจริงของเขาไว้ด้วย
“ชื่อ บรีวิก มีมาตั้งแต่ก่อนยุคไวกิ้ง เบห์ริง มาจากคำว่า เบห์ร ซึ่งเป็นชื่อภาษาเยอรมนิกที่ใช้กันตั้งแต่ก่อนคริสตกาล ส่วน แอนเดอร์ส (แอนเดรียส) เป็นภาษาสแกนดิเนเวียน เทียบได้กับ แอนดรูว์”
เอกสารชุดนี้ยังกล่าวถึงเพื่อนฝูงของ บรีวิก, พฤติกรรมของพวกเขา, สาวๆที่เคยคบหา, กิจกรรมทางเพศ ตลอดจนเรื่องราวทั่วไปในชีวิตประจำวัน หรือแม้แต่เรื่องที่ บรีวิก ไปดื่มไวน์ราคาแพงก่อนจะลงมือก่อเหตุสะเทือนขวัญในนอร์เวย์ ก็มีบันทึกไว้เช่นกัน
ข้อความในวันเกิดเหตุระบุว่า “นี่คงเป็นบันทึกสุดท้ายที่จะเขียน วันนี้วันที่ 22 กรกฎาคม เวลา 12.51 น. ขอแสดงความนับถือ แอนดรูว์ เบอร์วิก, ผู้บัญชาการอัศวินตุลาการ, อัศวินเทมพลาร์ยุโรป, อัศวินเทมพลาร์นอร์เวย์”
ทนายของ บรีวิก ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ของนอร์เวย์วานนี้(23)ว่า บรีวิก ยอมรับสารภาพว่าเป็นผู้ก่อเหตุ
“เขาทราบดีว่ามันโหดร้ายมาก แต่บอกว่าจำเป็นต้องทำ” เกร์ ลิปเปสตัด ทนายของ บรีวิก กล่าว พร้อมระบุว่าลูกความของเขาวางแผนก่อวินาศกรรมครั้งนี้มานานแล้ว

วันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

Wild animals saved by 'certified jungle woman'

หลวงพ่อปืนดุ ชักลูกซองยิงหลวงพี่ดับสยอง...

หลวงพ่อปืนดุ ชักลูกซองยิงหลวงพี่ดับสยอง...ถูกจับสึกยังหัวหมอ ให้การภาคเสธ แต่ตร.มั่นใจหลักฐาน
เมื่อเวลา 00.15 น. วันที่ 22 ก.ค. พ.ต.ท.บันเทิง บุญญาวัฒน์ สวส.สภ.บางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา ได้รับแจ้งมีพระถูกยิงด้วยอาวุธปืนเสียชีวิตที่วัดบางสาย หมู่ 3 ต.โพรงอากาศ จึงรีบไปสอบสวนพร้อม พ.ต.อ.วินัย จิตต์ปรุง รอง ผบก. พ.ต.อ.ภิรมย์ ปรียากร ผกก. พ.ต.ท.ประภาส เหมือนปิ๋ว รอง ผกก.ส.ส. ที่เกิดเหตุบริเวณลานวัด หน้ากุฏิพระ พบศพพระนพดล พึ่งรอด หรือพระน้อย อายุ 42 ปี เป็นพระลูกวัดนอนมรณภาพ มีเลือดไหลอาบจีวรจนเป็นสีแดงฉาน ที่หน้าอกมีบาดแผลถูกระสุนปืนยิงเป็นรูพรุน โดยมีสุนัขที่พระนพดลเลี้ยงไว้นั่งเฝ้าศพอยู่ไม่ห่าง พบหมอนรองลูกกระสุนปืนลูกซอง เบอร์12 ตกอยู่ 2 ปลอก จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน
จากการสอบสวน ทราบว่า ก่อนเกิดเหตุพระนพดลได้เดินเข้าไปตระโกนต่อว่าพระประกอบ กรเกษม อายุ 63ปี ที่บริเวณหน้ากุฏิของพระประกอบ ถึงสาเหตุที่พระประกอบใ ช้หนังสติ๊กยิงลูกหินใส่เข้ากุฏิของ พระบัญชา สุฐิโต รักษาการเจ้าอาวาสวัด เนื่องจากไม่พอใจการทำหน้าที่รักษาการเจ้าอาวาสวัด โดยพระประกอบที่อยู่บนกุฏิชั้น 2 ได้ออกมาตะโกนตอบว่า ไม่ใช่เรื่องของเอ็งอย่ามายุ่งจากนั้นจึงเกิดมีปากเสียงกันรุนแรง และพระนพดลได้ท้าทายให้พระประกอบลงมาข้างล่าง ก่อนที่พระประกอบจะเดินเข้าไปในกุฏิแล้วหยิบอาวุธปืนลูกซองออกมายิงเข้าใส่พระนพดลจนล้มทั้งยืน
จากการสอบสวนพระประกอบ ยอมรับสารภาพว่าเป็นผู้ใช้หนังสติ๊กยิงก้อนหินใส่กุฏิของรักษาการเจ้าอาวาสจริงแต่ไม่ได้เป็นคนยิงพระนพดลตาย แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ปักใจเชื่อจึงนำตัวไปตรวจสอบคราบเขม่าดินปืนและรอยนิ้วมือ เนื่องจากหลักฐานชัดเจนและมีผู้เห็นเหตุการณ์จึงนำตัวไปให้เจ้าอาวาสวัดบางน้ำเปรี้ยวทำการสึกและควบคุมตัวไว้ดำเนินคดี
พ.ต.อ.วินัย จิตต์ปรุง กล่าวว่า ถึงแม้ผู้ต้องหาจะให้การภาคเสธแต่หลักฐานต่างๆ มัดแน่น นอกจากนี้ เมื่อตรวจสอบประวัติยังพบว่า ผู้ต้องหามีประวัติเคยติดคุกมาแล้ว 3 ครั้ง ในข้อหายาเสพติดและทำร้ายร่างกาย และในขณะที่บวชเป็นพระไม่พบปะกับผู้ใดไม่ปฏิบัติกิจของสงฆ์ เวลาที่บิณฑบาตจะขี่ จยย.พ่วงข้างในการบิณฑบาต ไม่ยอมเดินบิณฑบาตเหมือนพระรูปอื่นๆภายในวัด และมีปัญหากับพระภายในวัดมาตลอด เบื้องต้น เจ้าหน้าที่คุมตัวไปดำเนินคดีข้อหาฆ่าผู้อืนต่อไป...

จับรปภ.ข่มขืนม.1 จนท้องอ้างเด็กสมยอม

รวบรปภ.เพื่อนบ้านหื่นกาม ลวงนร.ม.1 ลูกสาวข้างบ้านไปขยี้กามยับ จนเรื่องมาแดงเมื่อพ่อเห็นลูกผิดปกติ พาไปหาหมอพบกำลังตั้งครรภ์ ขณะที่ผู้ต้องหาอ้างเด็กสมยอมเอง
เมื่อเวลา 12.30 น. วันที่ 23 ก.ค. พ.ต.ต.จรูญโรจน์ วิทิโชติปรีดา สว.สส.สภ.บางปู จ.สมุทรปราการ นำกำลังพร้อมหมายศาลสมุทรปราการ เลขที่ 501/2554 เข้าจับกุมตัว นายพูลชัย สมสิงห์ อายุ 53 ปี รปภ.โรงงานอุตสาหกรรมแห่งหนึ่ง ย่านนิคมอุตสาหกรรมบางปู ซอย 1 ต.บางปูใหม่ ขณะกบดานอยู่ในบ้านพักเลขที่ 209/300 ม.3 ต.บางปูใหม่ อ.เมืองสมุทรปราการ ผู้ต้องหาคดีข่มขืนกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกิน 13 ปี และพรากผู้เยาว์อายุไม่เกิน 15 ปี ไปจากบิดามารดา เหตุเกิดเมื่อต้นเดือน มิ.ย.2554
โดยก่อนหน้านี้ พ.ต.ท.คเณศร์ ริ้ววิริยะ สวส.สภ.บางปู ได้รับแจ้งจากนาย แดง (นามสมมุติ) อายุ 44 ปี ว่า ด.ญ.หนิง ( นามสมมุติ ) อายุ 12 ปี ลูกสาวเรียนอยู่ชั้น ม.1 โรงเรียนแห่งหนึ่ง ถูกนายพูลชัยเป็นเพื่อนบ้าน ล่อลวงไปข่มขืนกระทำชำเราหลายครั้งจนลูกสาวตั้งครรภ์ โดยทุกครั้งที่ตีตราบาปให้ลูกสาว ผู้ต้องหาจะข่มขู่ไม่ให้ลูกสาวตนนำเรื่องไปบอกใคร กระทั่งตนสังเกตเห็นลูกสาวมีอาการผิดปรกติทางร่างกาย เลยพาไปให้หมอตรวจพบว่ากำลังตั้งครรภ์ เลยเค้นสอบถามจนทราบความจริง จากนั้นเข้าแจ้งความตำรวจดังกล่าว ด้านนายพูลชัยให้การรับสารภาพว่า มีเพศสัมพันธ์กับเด็กสาวผู้เสียหายจริงประมาณ 3-4 ครั้ง แต่ไม่ได้เป็นการข่มขืนทว่าเป็นการสมยอมของเด็กสาวเอง.

วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

Breaking News: At least 80 people are dead as a result of a shooting rampage Friday on Utoya Island, police in Norway said Saturday

ضبطت 840 طنا من المكسيك سلائف الميثامفيتامين.


يوم 21 يوليو ، أفادت وكالة رويترز من مكسيكو سيتي. مكسيكو ، المكسيك ، غارات اعتقال الجنود. وتستخدم المواد الكيميائية لانتاج المخدرات نوع الأمفيتامين. كمية هائلة إلى 840 ألف طن من مخبأة في مستودع في مكان ما. شبه الجزيرة العقارية في مدينة ألباني. من مكسيكو سيتي الى الشمال ، على بعد حوالى 200 كلم في منتصف حامل يحتوي عليها. رسم التجهيز R. نيل من 787 طن من الحامض والتمر الهندي عين العقل (نيويورك طارق حامض) ، 52.5 ألف طن ، وكلها معبأة في أكياس من أكياس 25 كجم ونوعين من المواد الكيميائية من العناصر الأساسية في تصنيع الميثامفيتامين. هذا الاعتقال هو واحد كبير مرة أخرى. في تاريخ المكسيك.

คดีเรือขุดชี้ประเด็นการปราบทุจริตระบบกลไกประเทศล้มเหลว!!!

ชี้คดี'เรือขุด'เป็น'มหากาพย์คดีค่าโง่'
“อลงกรณ์” ชี้ คดี “เรือขุด” เป็น “มหากาพย์คดีค่าโง่” ซัด “ป.ป.ช.” ทำงานอืด จี้ ควรทำให้เร็วกว่านี้ เผย ร้องเรียนมา เกือบ10 ปี ไม่คืบ
นายอลงกรณ์ พลบุตร ส.ส.เพชรบุรี พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ถูกศาลอุทรณ์พลิกคำสั่งในศาลชั้นต้น ให้ติดคุก 10 ปี ในคดีที่นายจงอาชว์ โพธิสุนทร อดีตอธิบดีกรมเจ้าท่า ร่วมทุจริตจัดซื้อเรือขุด พร้อมลูกน้องอีก 5 คน แก้ไขสัญญา จนรัฐเสียหายกว่า 1 พันล้านบาท ขณะที่จำเลย ยื่นขอประกันตัวทันที วงเงินคนละ 1 ล้านบาท ก่อนจะเตรียมยื่นฎีกาสู้คดีว่า เขาเรียกว่าเป็นคดีค่าโง่เรือขุดแฮริคอร์ต 2,000 ล้าน
ทั้งนี้ เขาเคยยื่นตรวจสอบตั้งแต่ปี 2539 ปลายรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และเคยอภิปรายไม่ไว้วางใจ พร้อมยื่นเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ในปี 2545 ในสมัยรัฐบาลทักษิณ ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นตัวอย่างหนึ่งของความอับยศ ในเรื่องการฉ้อราษฎร์บังหลวงและการไร้ประสิทธิภาพ ที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อภาษีของประชาชน เพราะได้จ่ายเงินไปเกือบ 2,000 ล้าน แต่กลับไม่ได้เรือขุดมาเป็นของประเทศไทยแม้แต่ลำเดียว เขาได้ทำการท้วงติงจนกระทั่งต้องอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ส่วนจำเลยในคดีดังกล่าวเตรียมยื่นฎีกาสู้คดีนั้น นายอลงกรณ์ กล่าวว่า เป็นสิทธิ์โดยชอบของจำเลย แต่ขึ้นอยู่กับดุลย์พินิจของศาล เขาไม่ขอพาดพิงถึงคำตัดสินหรือก้าวล่วง แต่กรณีนี้ป็นตัวอย่างหนึ่งของความอับยศ ที่เสียทั้งเงินและค่าโง่ในการบริหารโครงการ ซึ่งควรเป็นอุทธาหรณ์ต่อไป ในเรื่องของการกำกับดูแลโครงการจัดซื้อจัดจ้าง เพื่อให้เกิดความโปร่งใส และจะต้องรับฟังความเห็นข้อเสนอแนะ และการติติงของฝ่ายนิติบัญญัติเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาใหญ่เหมือนกรณีเรือขุด
“กรณีเรือขุดควรนำมาเป็นกรณีศึกษา ที่แม้แต่กระทรวงทบวงกรมต่างๆหรือคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรที่ทำหน้าที่ในการกำกับตรวจสอบ อาทิ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ปปท.) ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา ควรจะได้ศึกษาเป็นตัวอย่างเพราะว่า เป็นองค์กรที่สอบทุจริตตั้งแต่ขั้นตอนการกำหนดสเปคขั้นตอนการประมูล จนมาถึงการบริหารโครงการดังกล่าว ซึ่งประสบความล้มเหลวโดยสิ้นเชิงแม้ว่า จะถูกตรวจสอบท้วงติงทั้งในระดับกรรมาธิการ หรือการอภิปรายไม่ไว้วางใจ"
นายอลงกรณ์ กล่าวว่า ปปช.ควรจะแจ้งต่อสาธารณชน ถึงความคืบหน้า เพราะเป็นเวลา 9 ปีแล้วที่เขาได้ยื่นเรื่องไป ซึ่งการตรวจสอบควรที่จะเร็วกว่านี้ เพราะเวลาเนิ่นนานมามากแล้ว ย่างเข้าปีที่ 10 แล้ว ควรจะสรุปผลการตรวจสอบและแจ้งให้ผู้ร้องทราบ
เรื่องนี้เป็นมหากาพย์ตั้งแต่ขั้นตอนการประมูลมีการล๊อคสเปคกัน แล้วที่บอกว่า เป็นค่าโง่เพราะบริษัทนี้ไม่มีประสบการณ์การต่อเรือขุด แล้วพอมีปัญหาไม่สามารถที่จะส่งมอบได้ ก็ขอที่จะให้บริษัทไทยต่อเรื่อขุด ซึ่งบ่งบอกว่า มีความไม่ชอบมาพากล เพราะถ้าบริษัทไทยสามารถต่อเรือขุดได้ทำไมถึงถูกกีดกันไม่ให้เข้าประมูล แล้วบริษัทที่ไม่มีประสบการณ์ในการต่อเรือผลิตหัวสว่าน กลับเป็นบริษัทเดียวที่ผ่านคุณสมบัติ ซึ่งเข้าข่ายการล๊อกคเปค
ทั้งนี้ ในปี 2539 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม สมัยรัฐบาลพล.อ.ชวลิต ตอนนั้นมีบริษัทเข้ามาเสนอตัว 5 บริษัทแต่ตกคุณสมบัติหมด ผ่านเทคนิคเพียง 1 ราย คือ แฮริคอร์ต แมชชีนคอร์เปอเรชั่น อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งเป็นบริษัทเดียวที่ผ่าน เท่ากับไม่มีการประกวดราคาไม่มีการแข่งขัน
"ผ่านได้ยังไงในเมื่อมีทุนจดทะเบียนเพียง 1 แสนเหรียญ มูลค่าโครงการ 50 ล้านเหรียญ ที่สำคัญคือตอนเซ็นสัญญาแอบไปเซ็นกันที่โรงแรมอะไรก็ไม่รู้" นายอลงกรณ์ ระบุ

วันพฤหัสบดีที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

วันนี้ (21 ก.ค.) ที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคร่วมกับเครือข่ายองค์กรผู้บริโภคภาคตะวันตก ซึ่งประกอบด้วย ศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคจังหวัดกาญจนบุรี และศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคจังหวัดสมุทรสงคราม แถลงข่าวผลการดำเนินงานคุ้มครองความปลอดภัยด้านอาหารและเฝ้าระวังโฆษณา ผลิตภัณฑ์สุขภาพบนสื่อวิทยุชุมชุนและเคเบิลทีวี อันเป็นกิจกรรมหนึ่งของโครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งกลไกการคุ้มครองความ ปลอดภัยด้านอาหารโดยผู้บริโภคภายใต้การสนับสนุนของแผนงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ (คคส.)
น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้รับการร้องเรียนจากกรรมการผู้จัดการบริษัท โฆษณารายหนึ่ง กรณีนำเสนอส่วนประกอบของรังนกสำเร็จรูปผ่านป้ายโฆษณาของตนว่า รังนกสำเร็จรูปชื่อดัง ใส่รังนกแท้แค่ 1% เศษ แล้วโดนผู้ประกอบการเครื่องดื่มรังนกร้องสมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทย และได้รับคำตัดสินจากสมาคม ว่า เป็นการกระทำผิดจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพโฆษณา แต่ตนไม่เห็นด้วยในคำตัดสิน จึงได้มาร้องมูลนิธิช่วยพิจารณา
“หลังจากการศึกษาข้อมูลโดยเก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์รังนกสำเร็จรูปเท่าที่หาได้ ในตลาดจำนวน 4 ตราสินค้า เน้นเรื่องส่วนประกอบของอาหาร พบว่า ประเด็นที่ผู้ร้องนำเสนอนั้นเป็นข้อมูลจริงจากฉลากอาหารของผลิตภัณฑ์ โดยจำนวน 3 จาก 4 ตราสินค้า มีรังนกแห้งเป็นส่วนประกอบ แค่ 1% เศษจริง มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเป็นกำลังใจให้กับผู้ร้องในการให้ข้อมูลกับผู้บริโภค ผ่านสื่อโฆษณาของตนต่อไปและพร้อมให้การสนับสนุนเพื่อสู้คดีในกรณีที่ถูกฟ้อง ร้องจากบริษัทผู้ประกอบการบริษัทผลิตรังนกสำเร็จรูป” น.ส.สารี กล่าว
นายพชร แกล้วกล้า ผู้ประสานงานโครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งกลไกการคุ้มครองความปลอดภัยด้าน อาหารโดยผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า กรณีรังนกสำเร็จรูปนี้ ในเรื่องของการแสดงส่วนประกอบ พบว่า ในสองตราสินค้า คือ สก็อต และ แบรนด์ ระบุแค่น้ำตาลกรวด 10-12% กับ รังนกแห้งที่ 1.1-1.4% ส่วน เอฟแอนด์เอ็น โกลด์ ระบุว่า มี นมโค 19% รังนกแห้ง 0.16% (เป็นวงเล็บ) นมผงขาดมันเนย 4.8% และส่วนประกอบอื่นๆ อีกเล็กน้อย ทั้ง 3 ตราสินค้านี้เมื่อรวมส่วนประกอบของแต่ละตราสินค้าจะไม่มีตราสินค้าใดครบ 100% ประเด็นคำถาม คือ แล้วส่วนประกอบส่วนใหญ่ที่ขาดหายไปคืออะไร สภาพวุ้นที่มีในสินค้าแต่ละขวดเป็นส่วนประกอบของอะไร มีเพียงตราสินค้าเดียวที่แสดงส่วนประกอบครบ 100% คือ เบซซ์ ที่ระบุว่า มีน้ำ 83.8% น้ำตาลกรวด 15.0% และ รังนก (ก่อนต้ม) 1.2% เป็นส่วนประกอบ นอกจากเรื่องส่วนประกอบที่ได้แจ้งไปแล้ว “ยังมีประเด็นปัญหาอื่นด้านฉลากที่ก่อให้เกิดความสับสนกับผู้บริโภค เช่น การอนุญาตให้ใช้คำว่า รังนกแท้ ก่อให้เกิดความสับสนกับผู้บริโภคในส่วนประกอบได้ โดยทำให้ผู้บริโภคคาดหวัง สัดส่วนของเนื้อรังนกในปริมาณที่สูงมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันโดยไม่ได้ สนใจเรื่องว่าเป็นรังนกแท้ๆ ที่ไม่ใช่รังนกปลอม (มีใช้คำนี้ใน 2 ตราสินค้า คือ สก็อต และแบรนด์ ขณะที่อีก 2 ตราสินค้าที่เหลือใช้แค่คำว่าเครื่องดื่มรังนก) นอกจากนี้ การอนุญาตให้ใช้ข้อความบนฉลากโดยใช้คำว่า 100% จากถ้ำธรรมชาติ ถือเป็นการอ้างแหล่งที่มาและอาจจะเข้าข่ายการโฆษณาบนฉลากหรือไม่ โดยที่ผู้บริโภคทั่วไป เข้าใจว่า สิ่งเหล่านี้ได้รับการรับรองจากจากอย. ซึ่งอย.ควรจะต้องชี้แจงข้อเท็จจริง ว่า อย.สามารถรับรองตามที่ผู้ประกอบการอ้างได้จริงบนฉลากทุกขวดหรือไม่” นายพชร กล่าว
ตร.ห้วยขวางรวบสาวค้ายาไอซ์คาด่าน สารภาพ ขี่ จยย.ตระเวนส่งลูกค้า 7 ปี ถูกจับหลายครั้ง แต่มี ตำรวจยศจ่า คอยเคลียร์

วันนี้ ( 21 ก.ค.) พ.ต.ท.จารุวัตร ศรีชัย สวป.สน.ห้วยขวาง พร้อมด้วย ร.ต.ท.บุญญฤทธิ์ สุขบรรเทิง รอง สวป.สนห้วยขวาง ได้ร่วมกันจับกุมตัว น.ส.ศศิธร โมเฟื่อง อายุ 27 ปี อยู่บ้านเลขที่113/1 ม.1 ต.ยางซ้าย อ.เมือง จ.สุโขทัย พร้อมด้วยของกลางยาเสพติดให้โทษประเภท1 (ยาไอซ์) บรรจุอยู่ในถุงพลาสติกใสจำนวน 3 ถุงน้ำหนัก 5.70 กรัม รถจักรยานยนต์ยี่ห้อยามาฮ่า สีแดง-ขาว ทะเบียน ษกข 525 กรุงเทพฯ จำนวน 1 คัน และโทรศัพท์มือถืออีก 1 เครื่อง
ร.ต.ท.บุญญฤทธิ์ กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อช่วงเวลา 05.30 น.ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจไปตั้งจุดตรวจค้นที่บริเวณสามแยกหน้าเขตห้วยขวาง ขณะตั้งด่านตรวจค้นผู้ต้องหาได้ขับรถจยย.ผ่านมา ท่าทีมีพิรุธ จึงเรียกให้หยุดเพื่อขอตรวจค้น จากการตรวจสอบพบยาเสพติดบรรจุอยู่ในถุงพลาสติกใส 1 ถุง ซุกซ่อนในกระเป๋ากางเกงขาสั้นของผู้ต้องหา ส่วนอีก 2 ถุงพบซุกซ่อนอยู่ในกระเป๋าถือสีเขียว ที่ใส่ไว้ในถุงกระดาษแบบหิ้วอีกชั้นหนึ่ง
สอบสวน น.ส.ศศิธร ยอมรับว่า ยาไอซ์ดังกล่าวเป็นของตน และจะนำไปจำหน่ายให้กับลูกค้าประจำ โดยใช้โทรศัพท์มือถือในการติดต่อเพื่อซื้อขายกับลูกค้า ซึ่งจะมีการนัดมารับของตามจุดต่างๆ แล้วแต่ลูกค้าจะนัดแนะ ทำมาประมาณ 7 ปีแล้ว ได้ค่าจ้างครั้งละ 2,000 บาท แล้วแต่จำนวนยาที่ไปส่ง ตนจะตระเวนส่งยาให้กับลูกค้าย่านลาดพร้าว – รัชดาภิเษก –ประชาชื่น – ทองหล่อ – อาร์ซีเอแล้วแต่ลูกค้าจะนัดว่าให้ไปที่ใด ถ้าถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมก็จะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ ยศ "จ่า" คอยเคลียร์ให้
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อกล่าวหา “มียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาไอซ์)ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย” จากนั้นได้นำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางทั้งหมด ส่งพนักงานสอบสวน สน.ห้วยขวาง เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

'เอสเอ็มเอส' เสี่ยงโชค...!!!ภัยร้ายใหม่ใกล้ตัวเด็ก
วันพุธ ที่ 20 กรกฎาคม 2554 เวลา 0:00 น
คุณมีสิทธิ์ลุ้นรับ.....พิมพ์ A2 ส่งมาที่ 24177XX ข้อความละ 6 บาท ประโยคเหล่านี้ถูกเผยแพร่และส่งต่อผ่านทางระบบเอสเอ็มเอสของระบบโทรศัพท์มือถือหลากหลายเครือข่าย ที่เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้รับข้อความเหล่านี้ หากเป็นผู้ใหญ่บางคนอาจคิดว่าเป็นการเสี่ยงโชคธรรมดาลองส่งกลับดู ถ้าไม่ได้ก็เสียตังค์แค่ 6 บาท และจะไม่ส่งอีก หรือบางคนก็อาจลบข้อความทิ้งไป แต่สิ่งที่น่าเป็นกังวลมากที่สุดคือ เด็กๆ ที่ยังไม่มีวิจารณญาณในการตัดสินใจเลือกรับสารที่ถูกส่งต่อนี้ จึงทำให้มีเด็กจำนวนมากตกเป็นเหยื่อและสูญเสียเงินไปนักต่อนักกับธุรกิจนี้!
ไม่เพียงแต่ประโยคในลักษณะดังกล่าวจะปรากฏอยู่ในระบบเอสเอ็มเอสของโทรศัพท์มือถือเท่านั้น แต่ในหลายรายการของฟรีทีวี เคเบิลทีวี และอินเทอร์เน็ตก็มีข้อความในลักษณะเดียวกันเชิญชวนให้เข้าไปเสี่ยงโชค จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มูลนิธิเครือข่ายครอบครัว มูลนิธิสื่อเพื่อเยาวชน มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์ จึงได้ร่วมกันจัดเวทีเสวนาในหัวข้อ “แนวทางการปกป้องเด็กและเยาวชนจากสถานการณ์การเสี่ยงโชคผ่านข้อความสั้นทางโทรศัพท์มือถือ หรือ เอสเอ็มเอส” เพื่อหาทางออกให้กับเด็กวัยรุ่น
นักวิจัยโครงการสำรวจสถานการณ์การเสี่ยงโชคทางโทรศัพท์มือถือ (เอสเอ็มเอส) ได้ศึกษาพบว่า บริการเอสเอ็มเอสเสี่ยงโชคนั้นจากการคิดค่าบริการจำนวนเงินครั้งละ 6 บาทต่อการเสี่ยงโชค 1 ครั้งจะถูกแบ่งให้ผู้รับข้อความของบริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ 50 เปอร์เซ็นต์หรือครั้งละ 3 บาท และอีก 1.5 บาทจะถูกส่งต่อไปยังบริษัทที่ดูแลระบบและที่เหลือจะถูกส่งไปยังเจ้าของกิจการที่คิดการเสี่ยงโชคโดยเอสเอ็มเอสนี้ขึ้นมา
จากข้อมูลสถิติเมื่อครั้งที่มีการแข่งขันฟุตบอลโลกมีการส่งเอสเอ็มเอสเข้าร่วมชิงโชคเป็นจำนวนเงินมากถึง 60 ล้านบาท จึงชี้ให้เห็นว่ามีคนจำนวนมากทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่ได้รับผลกระทบจากการสมัครเอสเอ็มเอสเหล่านี้โดยไม่ตั้งใจขั้นต่ำ 30 บาทต่อ 1 ครั้ง ซึ่งระบบของการเชิญชวนจะเริ่มด้วยข้อความที่กระตุ้นความอยากของผู้คนโดยใช้วัตถุเป็นสิ่งเร้า และเมื่อผู้ใช้บริการหลวมตัวกดพิมพ์ข้อความเข้าไปแล้วจะมีข้อความกระตุ้นกลับมาเป็นระยะ ๆ ว่าผู้ใช้บริการใกล้จะได้รับรางวัลแล้วให้พิมพ์ข้อความเข้าไปประมูลต่ออีก
แต่สิ่งที่น่าเป็นกังวลมากที่สุดคือ วัยของผู้ใช้บริการที่จะร่วมเสี่ยงโชคในรูปแบบเอสเอ็มเอสนั่นคือ เด็ก ซึ่งถือเป็นภาวะที่น่าเป็นห่วงมากเนื่องจากเด็กหวังรางวัลล่อใจ หากผู้ปกครองดูแลไม่ทั่วถึงนอกจากจะทำให้เด็กเสียเงินแล้วยังซึมซับนิสัยการติดพนันโดยไม่รู้ตัว พญ.โชษิตา ภาวสุทธิไพศิฐ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ให้ความรู้ว่า เด็กที่มีพฤติกรรมติดเอสเอ็มเอสเสี่ยงโชคจะคล้าย ๆ กับเด็กติดเกม ติดการพนัน มักจะมีอารมณ์หงุดหงิด หากได้เล่นแล้วก็จะเล่นมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ถ้าแพ้หรือไม่ได้ตามที่ตัวเองตั้งใจไว้ก็จะผิดหวังรุนแรง อาจถึงขั้นทำลายข้าวของและเด็กไม่มีเงินเป็นของตัวเองยิ่งถูกพ่อแม่ห้าม อาจจะพูดจาหยาบคายและแสดงอาการไม่พอใจ
ดังนั้นพ่อแม่ผู้ปกครองควรมีเวลาสังเกตลูกด้วย เช่น หมกมุ่นไม่รับประทานอาหาร ชอบแยกตัว ในเด็กบางกลุ่มมีการใช้เงินมากขึ้น ใส่ใจการเรียนน้อยลง จากเดิมอารมณ์ดีกลับเปลี่ยนเป็นคนหงุดหงิดง่าย เข้าสังคมกับเพื่อนน้อยลง หากเป็นเช่นนี้พ่อแม่ต้องให้ความสำคัญกับลูกมากขึ้นด้วยการระงับสิ่งที่จะมากระตุ้นหรือเร้า จากนั้นพูดคุยและตั้งกฎเกณฑ์ให้ชัดเจนถึงการเล่นดังกล่าว รวมทั้งหากิจกรรมอื่น ๆ ที่น่าสนใจแนะนำให้ลูก ๆ เล่น แต่หากเป็นรุนแรงมากควรพบแพทย์เพื่อทำการบำบัดป้องกันความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นต่อไป
ผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม ให้ข้อมูลด้านกฎหมายเพิ่มเติมว่า การพนันเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ส่วนการชิงโชคที่ผู้จัดไม่ได้รับผลประโยชน์ตอบแทนถือเป็นกรณีการส่งเสริมการขายสินค้า ซึ่งต้องขออนุญาตตาม พ.ร.บ.การพนันและต้องทำตามเงื่อนไข เช่น การให้รายละเอียดที่ครบถ้วนแก่ผู้บริโภค และที่สำคัญผู้จัดชิงโชคต้องไม่ได้รับผลประโยชน์จากการชิงโชค เช่น กรณีเอสเอ็มเอสชิงโชค หากผู้จัดได้รับส่วนแบ่งจากค่าบริการเอสเอ็มเอส ถือเป็นการพนันที่ผิดกฎหมายทันที
ส่วนกรณีที่บริษัทมือถือคิดค่าส่งเอสเอ็มเอสชิงโชคแพงกว่าค่าส่งเอสเอ็มเอสปกติทั่วไปทั้งที่เป็นบริการส่งข้อความลักษณะเดียวกัน อาจผิดกฎหมายการประกอบกิจการโทรคมนาคม ที่ห้ามเรียกเก็บค่าบริการแตกต่างกันสำหรับบริการลักษณะและประเภทเดียวกัน ดังนั้นกรณีนี้บริษัทมือถือต้องชี้แจงให้ได้ว่าเหตุใดจึงเก็บค่าบริการเอสเอ็มเอสชิงโชคแพงกว่าปกติ
ทั้งนี้จากการสำรวจพบว่าเจ้าของโทรศัพท์มือถือเกินกว่าครึ่งของจำนวนประชากรไทย 60 ล้านคน ได้รับเอสเอ็มเอส ประเภทนี้และในจำนวนนี้มี 4 เปอร์เซ็นต์หรือคิดเป็น 2.4 ล้านคนที่จะเล่นเสี่ยงโชคเป็นประจำ ถ้าลองคำนวณดูว่าหากเราส่งเอสเอ็มเอสกลับไปครั้งละ 6 บาท จะคิดเป็นเงินประมาณ 7-14 ล้านบาทที่บริษัทจะได้รับ ซึ่งถือว่ามีมูลค่ามากกว่ารางวัลที่นำมาแจกเสียอีก เช่น โทรศัพท์มือถือยี่ห้อ ไอโฟน 1 เครื่อง จึงอยากฝากเตือนว่าให้ระมัดระวังตัวไม่หลงเชื่อ...

โจรบุกชิงทรัพย์ร้านทองกลางเมืองนครปฐม ได้ทองหนักกว่า 70 หลบหนีลอยนวล

โจรบุกชิงทรัพย์ร้านทองกลางเมืองนครปฐม คนร้ายอาศัยจังหวะฝนตกควงปืนลุยเดี่ยวได้ทองหนักกว่า 70 หลบหนีลอยนวลพี่สะภ้เห็นโจรพี่สะใภ้เห็นโจรกำลังลงมือรีบโทรฯแจ้งตำรวจแต่เจ้าหน้าที่มาไม่ทัน ตร.มึนพยานไม่มีใครเห็นเหตุการณ์ เพราะช่วงเกิดเหตุฝนตกหนัก เชื่อไม่น่าเป็นมืออาชีพคาดเป็นวัยรุ่นต้องการใช้เงินส่งภาพวงจรปิดกระจายกำลังล่าตัว ด้าน รอง ผบช.ภ.7 ลั่นคาดไม่เกินความสามารถ
เหตุการณ์คนร้ายบุกเดี่ยวชิงทองกลางเมืองนครปฐมครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อเวลา 11.58 น.วันที่ 19 ก.ค. ร.ต.ท.ปิยะชัย มั่นคง ร้อยเวร สภ.เมืองนครปฐม ได้แจ้งเหตุคนร้ายบุกเดี่ยวจี้ชิงทรัพย์ห้างทองวรรณา ตั้งอยู่เลขที่ 154/19 ถนนพญาพาล เขตเทศบาลเมืองนครนครปฐม หลังรับแจ้งจึงรายงานผู้บังคับบัญชาทราบและเดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อม พล.ต.ต.โสภณ พิสุทธิวงษ์ รอง ผบช.ภ.7 พล.ต.ต.พศิน นกสกุล ผบก.ภ.จว.นครปฐม พ.ต.อ.ถาวร ขาวสะอาด รอง ผบก. พ.ต.อ.กฤษณะ ทรัพย์เดช รอง ผบก. พ.ต.ท.ยงยุทธ เกิดเรือง รอง ผกก.สส.สภ.เมืองนครปฐม พ.ต.ท.พงศกร อุปพงศ์ รอง ผกก.จร. และชุดสืบสวน รวมทั้งเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน
เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ เป็นอาคารพาณิชย์ 3 ชั้นริมถนน ปลูกติดกันเป็นแถวยาว ที่เกิดเหตุเป็นห้องกระจก พบ นางวรรณา ถิระวันธุ์ อายุ 50 ปี เจ้าของร้านยืนอยู่ในอาการตกใจ ให้การเสียงสั่นว่า ขณะเกิดเหตุมีฝนตกหนัก ตนยืนอยู่หน้าตู้ทองคนเดียว ระหว่างนั้นมีคนร้ายลักษณะเหมือนวัยรุ่น สวมกางเกงยีนสีน้ำเงิน เสื้อยืดลายขวางสีเขียว เสื้อคลุมสีครีม สวมหมวกแก๊ปสีแดงขาว เข้ามาทำทีจะซื้อทองแล้วก็ชักอาวุธปืนออกมาขึ้นลำเสียงดังสนั่นห้องและมีกระสุนกระเด็นออกมาจากรังเพลิง 2 นัด ก่อนคนร้ายจะเดินเข้ามาด้านหลังเปิดตู้กระจกกวาดทองมีสร้อยคอ สร้อยข้อมือน้ำหนักเส้นละ 1 บาท 2 บาท 3 บาทและ 5 บาท กว่า 70 บาท ใส่ถุงพลาสติกวิ่งหนีออกไปอย่างรวดเร็ว แต่บังเอิญประตูล็อกคนร้ายจึงหันกระบอกปืนจ่อมาที่ตนพร้อมตะโกนให้เปิดประตู ตนเองกลัวจึงกดสวิตช์เปิดประตูให้พร้อมคว้าพัดลมขว้างใส่คนร้าย ก่อนจะวิ่งหนีออกไปโดยไม่มีใครเห็นว่าวิ่งไปทางไหน
ด้านนางสมจิตร ถิระวันธุ์ อายุ 54 ปี พี่สะใภ้เจ้าของร้านให้การว่า ขณะคนร้ายเข้ามาตนอยู่หลังร้าน ได้ยินเสียงผิดปกติจึงออกมาดู เห็นคนร้ายถือปืนและกำลังกวาดทองรูปพรรณลงถุงพลาสติก ตนจึงวิ่งกลับเข้าไปด้านหลังโทรศัพท์แจ้งตำรวจ และเดินออกมาถ่วงเวลาโดยต่อรองให้เอาเป็นเงินสดไป แต่คนร้ายไม่ฟังรีบกวาดเอาทองใส่ถุงและวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว สักครู่สายตรวจก็มาถึง อย่างไรก็ตามจากการสอบสวนเพื่อนบ้านข้างเคียงก็ไม่มีใครรู้ว่าเกิดเหตุคนร้ายจี้ชิงทรัพย์เนื่องจากฝนกำลังตกหนัก ต่างคนต่างวิ่งหลบฝน เบื้องต้นเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานได้เก็บรอยนิ้วมือแฝงและภาพจากกล้องวงจรปิดไปตรวจสอบรายละเอียดหาตัวผู้ก่อเหตุมาดำนินคดี
คนร้ายเหิม!ชักปืนกราดยิงรถยนต์ในงานเลี้ยงนักการเมืองท้องถิ่นพัทยาพัง3คัน แขกนับร้อยแตกตื่น เชื่อเป็นฝีมือคู่แข่งการเมือง

เวลา 22.00 น.(19 ก.ค.) พ.ต.ท.อิสรานุวัฒน์ จงอภิชัยกุล พนักงานสอบสวน สภ.บางละมุง จ.ชลบุรี รับแจ้งมีคนร้ายใช้อาวุธปืนกราดยิงใส่รถยนต์เสียหาย 3 คัน เหตุเกิดบริเวณหน้าร้านมิตรมงคล ริมถนนสุขุมวิท ฝั่งขาเข้าพัทยา บ้านโรงโป๊ะ หมู่ 5 ต.บางละมุง อ.บางละมุง จ.ชลบุรี หลังรับแจ้งจึงพร้อมด้วย พ.ต.อ.สมนึก จันทร์เกตุ ผกก.สภ.บางละมุง ร.ต.อ.กรณ์พงษ์ สุขวิสิฏฐ์ รอง สว.สส.สภ.บางละมุง นำกำลังชุดสืบสวนเดินทางไปตรวจสอบ
ที่เกิดเหตุเป็นร้านจำหน่ายรถแม็คโครเล็ก ด้านในมีการตั้งโต๊ะจีนจัดงานเลี้ยงและมีแขกเข้าร่วมงานนับร้อยคน ส่วนบริเวณริมถนนพบรถยนต์จอดเรียงรายอยู่หลายคัน ตรวจสอบพบว่ามีรถยนต์ถูกกระสุนปืนยิงใส่จนได้รับความเสียหาย 3 คัน ประกอบด้วย รถยนต์เก๋งยี่ห้อโตโยต้า อัลติส สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน กว-7886 ชลบุรี ของนายนุสิทธิ์ สีแดง อายุ 50 ปี ถูกยิงเข้าที่กระจกหน้า 1 นัด รถยนต์ปิกอัพยี่ห้อมิตซูบิชิ ไทรทัน สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน ญฌ-7804 กทม. ของนางเยาวเรศ เวฬุวรารักษ์ อายุ 32 ปี
และรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ สีดำ ทะเบียน ก-5270 ชลบุรี ถูกยิงเข้าที่ท้ายรถ, ไฟท้ายขวา และกระจกประตูหลังด้านซ้าย อย่างละ 1 นัด ของนายสกล ผลลูกอินทร์ อายุ 34 ปี อดีตที่ปรึกษานายกเทศบาลเมืองหนองปรือ บุตรชายของนายเรวัตร ผลลูกอินทร์ รองนายก อบจ.ชลบุรี
จากการสอบถามนายสกล ผลลูกอินทร์ ผู้เสียหายให้การว่า วันนี้ตนกับนายนคร ผลลูกอินทร์ อายุ 34 ปี ว่าที่สมาชิก สภาเมืองพัทยา กลุ่มเรารักษ์พัทยา เบอร์ 2 เขต 2 ซึ่งเป็นฝาแฝดได้มาร่วมงานเลี้ยงฉลองโดยมี ว่าที่ ร.ต.จเรวัฒน์ ชินวัฒน์ อายุ 46 ปี สมาชิกสภาเทศบาล ต.บางละมุง และหัวหน้ากลุ่มพัฒนาบางละมุง ชักชวนให้มาร่วมงาน ขณะนั่งทานอาหารอยู่นั้น ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นจำนวน หลายนัดทางเข้าบริเวณงาน ซึ่งเป็นจุดที่รถของตนจอดอยู่ จึงรีบวิ่งออกมาดู และให้เจ้าหน้าที่มาตรวจสอบ ส่วนสาเหตุนั้นไม่ทราบเกิดจากสาเหตุอะไร เพราะไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับใคร
ว่าที่ ร.ต.จเรวัฒน์ ชินวัฒน์ อายุ 46 ปี สมาชิกสภาเทศบาล ต.บางละมุง และหัวหน้ากลุ่มพัฒนาบางละมุง ให้การว่า ก่อนเกิดเหตุตนได้จัดงานเลี้ยงเพื่อขอบคุณผู้ให้การสนับสนุนในการเลือกตั้งเมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา ระหว่างนั้นได้มีคนร้ายเป็นชายวัยรุ่นประมาณ 4-5 คน ขับรถ จยย.ไม่ทราบยี่ห้อซ้อนท้ายมากัน 4 คัน จนมาถึงบริเวณงานเลี้ยง หนึ่งในนั้นได้ชักอาวุธปืนไม่ทราบขนาดออกมากราดยิงใส่รถยนต์จำนวน 5 นัด แล้วหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว ทำให้แขกที่มาร่วมงานนับร้อยต่างพากันแตกตื่นออกมาดูเหตุการณ์ ส่วนสาเหตุคาดว่าน่าจะมาจากเรื่องการเมืองท้องถิ่น เพราะหลังกลุ่มของตนสามารถคว้าเก้าอี้ สท.มาได้เกินเป้าหมาย ก็ได้ถูกคู่แข่งโทรศัพท์มาข่มขู่ ซ้ำลูกน้องของตนยังเคยถูกทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ จึงเข้าแจ้งความไว้เป็นหลักฐานเรียบร้อยแล้ว

วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ชูวิทย์รายงานตัวส.ส.ทำพิธีสาปแช่งคนโกง.

สร้างมาตรฐานสอบนักการเมือง แขวะยิ่งลักษณ์ขึ้นค่าแรง 300 บ.เงินเดือนป.ตรี 1.5 หมื่นทำไม่ได้ให้ขอโทษประชาชน
รายงานจากรัฐสภาถึงบรรยากาศการเข้ารายงานตัวแสดงตนส.ส. เมื่อวันที่ 19 ก.ค. ซึ่งเข้าสู่วันที่ 6 นั้น ตั้งแต่เวลา 08.30-12.00น. มีส.ส.ที่ได้ใบรับรองจาก กกต. เดินทางมาแสดงตนต่อสำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร 21 คน อาทิ นายกรณ์ จาติกวณิช ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย นายนิยม ช่างพินิจ ส.ส.พิษณุโลก พรรคเพื่อไทย นายสมพล เกยุราพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย นายวุฒิพงษ์ นามบุตร ส.ส.อุบลราชธานี พรรคประชาธิปัตย์ โดยล่าสุดมียอดรวม 276 คน
ด้านนายชูวิทย์ ซึ่งเดินทางมาพร้อมบุตรสาวและบุตรชาย และส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรค เข้ารายงานตัวท่ามกลางความสนใจของข้าราชการสภาและสื่อมวลชน โดยนายชูวิทย์ กล่าวว่า เมื่อปี 2548 ตนเป็นส.ส.ในฐานะรองหัวหน้าพรรคชาติไทย แต่ไม่ได้ภูมิใจแม้สักนิด ครั้งนี้เป็นหัวหน้าพรรคไม่ได้ส่งส.ส.เขตแม้แต่คนเดียว มีคนดูถูกหาว่าตนเป็นสีสัน แต่ท้ายสุดก็ได้ส.ส. 4 คน คะแนนเกือบล้าน มากกว่าอีกหลายพรรค วันนี้อยากเข้ามาทำงานจริง ๆและจะทำพิธีตัดไม้ข่มนาม สาปแช่งคนโกง ประตูทางเข้าสภาจะเอามีดหมอกรีดถนน จะได้ฟันคนที่คิดร้ายคิดไม่ซื่อต่อบ้านเมือง แต่คนดีเข้ามาได้ วันนี้ 19 ก.ค. เป็นวันเกิดเจ้าแม่กวนอิม คนไทยและคนพุทธนับถือเป็นวันแรงมาก
นายชูวิทย์ กล่าวว่า สำหรับงานในสภาตนไม่สนใจเป็นกรรมาธิการคณะไหน ใครอยากแย่งก็แย่งกันไป สนใจอย่างเดียวคือความเดือดร้อนของประชาชน บรรดากรรมาธิการขอให้จำไว้ด้วยถ้าเป็นแล้วก็ไปเอาบริษัททัวร์เข้ามากินกัน ไปดูงานแต่แวะเข้าบ่อนคาสิโน พาเมียน้อย เมียหลวงไปด้วยระวังให้ดี แต่ถ้าตนไปจะควักเงินเอง ตนเป็นมาตรฐานหนึ่งสังคมใช้ทดสอบได้ ยืนยันแนวทางการทำงานในสภาจะเป็นฝ่ายค้านไม่ถือว่าพรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทยเป็นศัตรูถ้าพรรคเพื่อไทยทำงานดีก็จะสนับสนุน แต่ตอนนี้อย่าหาว่าสอนนโยบายขึ้นค่าแรง 300 บาท และขึ้นเงินเดือน 15,000 บาท ถ้าน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าที่นายกฯจัดรัฐบาลเสร็จแล้วทำไม่ได้ ก็ให้ยอมรับตรง ๆ แล้วกราบขออภัยประชาชนว่าเป็นเทคนิคของการหาเสียง และจะขึ้น 10 บาท ก็ว่ากันไป หรือนโยบายถมทะเลก็เช่นกัน ถ้าทำไม่ได้ก็ยอมรับว่า เพิ่งคิดเอาเมื่อคืนถ้าทำไปประเทศจะไปไม่รอด เพราะต้องใช้งบประมาณมหาศาล ก็ยอมรับไปเลยดีกว่า ประชาชนไม่ได้กินแกลบ กินหญ้า เหมือนบางคนไปพบพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯว่าไม่ได้พูดเรื่องการเมือง แต่กลับมากลายเป็นว่าไปต่อรองการเมือง 3 ที่นั่ง
จากนั้นนายชูวิทย์ นำสื่อมวลชนไปทำพิธีตั้งโต๊ะบูชาเจ้าแม่กวนอิมฝั่งตรงข้ามรัฐสภา โดยได้นำปฏิทินจีนมาแสดงให้สื่อมวลชนดูว่า วันนี้เป็นวันเกิดของเจ้าแม่กวนอิม ซึ่งประเทศไทยจะมีนายกรัฐมนตรีหญิงมาบริหารประเทศ ก็ขอให้มีความซื่อสัตย์ มีวาจาศักดิ์สิทธิ์ และเผากระดาษเงินกระดาษทอง นอกจากนี้ ยังตั้งโต๊ะบูชาเจ้าที่ อาทิ เป็ดเพื่อขอให้มีความบริสุทธิ์ หัวหมูเพื่อขอให้มั่งคั่ง ไก่เพื่อขอให้ขยันขันแข็ง ผลไม้เพื่อความสมบูรณ์ ขนมเทียนเพื่อความราบรื่น เป็นต้น และยังขอพรให้ตนและส.ส.ของพรรคอีก 3 คน มีกำลังใจต่อสู้ หากวันใดมีจิตใจไม่ซื่อสัตย์สุจริต ขอให้มีอันต้องออกจากสภาทันที และตกนรกหมกไม้
นายชูวิทย์ ได้ทำพิธีตัดไม้ข่มนามโดยใช้มีดหมอลงอาคมลนไฟ กรีดถนนประตูทางเข้ารัฐสภาให้คนไม่ดีไม่เข้าสภาและเปิดทางให้คนดีเข้าสภา และได้อธิษฐานว่า ขอทำงานเพื่อบ้านเมืองให้เป็นที่ประจักษ์เลื่องลือ ใครโกงกินคิดไม่ซื่อกับบ้านเมือง ขอให้บรรพบุรุษสาปแช่งให้ตกนรกหมกไหม้ชั่วกัปชั่วกัลป์ ใครกินงบประมาณไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก ขอให้วิบัติ ส่วนใครคิดดีทำดีกับประเทศขอให้มีความสุขความเจริญ.

บุกยิงกลางงานวัด ดับสจ.ดัง

เมื่อวันที่ 18 ก.ค. เหตุการณ์สะเทือนขวัญคนร้ายรัวฆ่ากลางวัดที่ จ.สุราษฎร์ธานี โดยเหตุเกิดเมื่อเวลา 22.40 น. วันที่ 17 ก.ค.ที่ผ่านมา ร.ต.อ.สุรชัย จันทรณรงค์ ร้อยเวร สภ.กาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ ธานี รับแจ้งเกิดเหตุยิงกันและมีผู้บาดเจ็บ ในงานปิดทองฝังลูกนิมิต วัดถนนสุวรรณประดิษฐ์ ม.3 ต.กระแดะ อ.กาญจนดิษฐ์ ห่างจากสภ.กาญจนดิษฐ์ และที่ว่าการ อ.กาญจน ดิษฐ์ ประมาณ 1 ก.ม. จึงรุดตรวจสอบพร้อม พ.ต.อ.จำโนทย์ แก้วขาว ผกก.สภ.กาญจน ดิษฐ์ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน

ที่เกิดเหตุบริเวณหน้าเวทีการแสดง พบนายทรงวุฒิ นพคุณ หรือส.จ.ชอง อายุ 52 ปี อยู่บ้านเลขที่ 19 ม.3 ต.ท่าทอง อ.กาญจน ดิษฐ์ ส.อบจ. เขต อ.กาญจนดิษฐ์ น้องชายนายชาญยุทธ นพคุณ ผู้สมัครส.ส.พรรคเพื่อไทย เขต 2 จ.สุราษฎร์ธานี นอนจมกองเลือดอยู่ในสภาพมีบาดแผลถูกยิงด้วยอาวุธปืน 9 ม.ม. เข้าที่แผ่นหลังตัดขั้วหัวใจทะลุด้านหน้า และที่ขมับทะลุรวม 2 นัด จึงรีบนำตัวส่ง ร.พ.กาญจนดิษฐ์ แต่ผู้บาดเจ็บทนพิษบาด แผลไม่ไหวเสียชีวิตในเวลาต่อมา โดยบริเวณที่เกิดเหตุพบปลอกกระสุนตกอยู่จำนวนมาก

นอกจากนี้ มีผู้บาดเจ็บถูกลูกหลงอีก 14 ราย และถูกนำตัวส่งร.พ.สุราษฎร์ธานี ประกอบด้วย ด.ช.ไรวิน เพ็งบูลย์ อายุ 8 ขวบ ด.ญ.วิลาสินี นพคุณ อายุ 9 ขวบ ด.ญ.เกวดี เพ็งบูลย์ อายุ 13 ปี น.ส.กรรณิกา หนูเปียร์ อายุ 18 ปี นายธงชัย แก้วสร้อย อายุ 38 ปี นายธงชัย แก้วสร้อย อายุ 38 ปี นายนิพนธ์ พัฒนรัตน์ อายุ 41 ปี นายนิพนธ์ พัฒนรัตน์ อายุ 41 ปี นายสมหมาย พละศักดิ์ อายุ 42 ปี นายบุญลือ จันทร์ปาน อายุ 44 ปี นางลัดดาวรรณ ทองชนะ อายุ 46 ปี นางพัทธ์ชญา เพ็งบูลย์ อายุ 46 ปี นางบุญสม หีตพัยชน อายุ 76 ปี และด.ญ.พรนัชชา ธรรมสังข์วาล อายุ 5 ขวบ อยู่บ้านเลขที่ 24/2 ม.3 ต.บ้านราม อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช ถูกยิงที่แผ่นหลังทะลุหน้าท้องและเสียชีวิตในเวลาต่อมา

สอบสวนเบื้องต้นทราบว่า ก่อนเกิดเหตุผู้ตายเดินทางมาเป็นประธานงานแสดงของนักเรียนที่เวทีรำวงเวียนครกของเวทีกลางภายในงาน พร้อมกับขึ้นไปมอบรางวัลให้กับนักเรียนบนเวที จากนั้นได้เดินกลับมานั่งที่โต๊ะหน้าเวทีการแสดง โดยมีผู้ติดตาม 2-3 คนนั่งอยู่ในโต๊ะเดียวกัน ระหว่างนั้นมีคนร้ายเป็นชายฉกรรจ์เดินปะปนมากับชาวบ้านและเข้าไปยืนบริเวณด้านหลังผู้ตายที่นั่งอยู่ ก่อนฉวยโอกาสชักอาวุธปืนขึ้นมาจ่อยิงในลักษณะเผาขน 2 นัดซ้อน จนผู้ตายฟุบหล่นตกจากเก้าอี้และลงไปนอนกองกับพื้น จังหวะเดียวกันผู้ติดตามของผู้ตายได้ชักอาวุธปืนขึ้นมายิงใส่กลุ่มคนร้ายที่กำลังวิ่งหลบหนี ทำให้ภายในวัดมีเสียงปืนดังตอบโต้กันหลายนัด ท่ามกลางเสียงหวีดร้องของชาวบ้านที่ต่างวิ่งหลบกระสุนกันอย่างชุลมุน หลังจากเสียงปืนสงบลง ได้มีเสียงร้องขอความช่วยเหลือของชาวบ้านที่ถูกลูกหลงหลายราย ก่อนที่จะนำตัวผู้บาดเจ็บนับสิบรายส่งโรงพยาบาลและมีผู้เสียชีวิต 2 ราย

การสอบสวนยังทราบว่า คนร้ายที่ก่อเหตุครั้งนี้มีไม่ต่ำกว่า 5 คน โดยใช้รถเก๋ง ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นโซลูน่า สีบรอนซ์ทอง ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน เป็นยานพาหนะ ซึ่งก่อนเกิดเหตุคนร้ายนำรถไปจอดที่ข้างรั้วบริเวณนอกวัด จากนั้นคนร้าย 3 คนได้เดินเข้าไปภายในงาน ส่วนคนร้ายอีก 2 คนนั่งรออยู่ในรถ ซึ่งหลังก่อเหตุคนร้ายที่อยู่ในรถ 2 คนก็ได้ลงมาใช้อาวุธปืนยิงตอบโต้ เพื่อเปิดทางให้กับกลุ่มคนร้ายอีก 3 คน หลบหนีออกมา ทำให้มีชาวบ้านได้รับบาดเจ็บจากการถูกลูกหลงหลายราย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังเกิดเหตุ นางอุบล นพคุณ ภรรยานายทรงวุฒิ ได้เดินทางมาดูศพสามีที่โรงพยาบาล เมื่อเห็นศพ นางอุบลได้วิ่งเข้าไปกอดศพสามีและร่ำไห้อย่างเศร้าโศกเสียใจ โดยนางอุบลกล่าวทั้งน้ำตาว่า ไม่ได้เดินทางไปร่วมงานที่วัด ซึ่งหากเดินทางไปด้วย สามีก็คงไม่ถูกยิงและเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ส่วนการก่อเหตุในครั้งนี้ไม่ทราบเหมือนกันว่า มีสาเหตุมาจากอะไร

ด้านพ.ต.อ.จำโนทย์กล่าวว่า หลังเกิดเหตุ พล.ต.ท.ก่อเกียรติ วงศ์วรชาติ ผบช.ภ.8 ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบและเรียกประชุมเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนและหน่วยที่เกี่ยวข้อง โดยกำชับให้รายงานผลความคืบหน้าตลอด เพราะถือเป็นคดีอุกฉกรรจ์และคนร้ายก่อเหตุอย่างอุกอาจต่อหน้าประชาชนอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย ซึ่งจากการสืบสวนทราบว่า คนร้ายมีการวางแผนมาเป็นอย่างดีและน่าจะเป็นมือปืนนอกพื้นที่ เนื่องจากขณะเกิดเหตุคนร้ายไม่ได้อำพรางใบหน้า ทำให้ประชาชนที่อยู่ในเหตุการณ์เห็นใบหน้าคนร้ายอย่างชัดเจน โดยหลังจากนี้เตรียมที่จะนำแฟ้มประวัติมือปืนในพื้นที่ภาคใต้มาให้ผู้เห็นเหตุการณ์ชี้ตัว เพื่อจะได้ทราบตัวคนร้ายที่ก่อเหตุครั้งนี้ ส่วนสาเหตุน่าจะมาจากเรื่องการเมืองท้องถิ่นและความขัดแย้งส่วนตัว รวมไปถึงเหตุการณ์ที่มีการยิงกันภายในบ่อนพนันชนไก่แห่งหนึ่งในจ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งเจ้าหน้าที่ยังไม่ตัดประเด็นเรื่องใดทิ้งไป

ต่อมา นายธีระยุทธ เอี่ยมตระกูล ผวจ.สุราษฎร์ธานี เดินทางไปเยี่ยมผู้บาดเจ็บที่ร.พ.สุราษฎร์ธานี และมอบเงินช่วยเหลือจำนวนหนึ่งให้กับผู้บาดเจ็บทุกคน นายธีระยุทธกล่าวว่า ไม่เป็นห่วงในเรื่องของคดี เพราะบช.ภ.8 ได้ส่งทีมเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ติดตามหาตัวกลุ่มคนร้ายแล้ว

วันเสาร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2554



تدفقات الحمم -- العالم البركاني في جزيرة سولاويزي. أندونيسيا الحمم تتدفق مياه التسرب الغليان من فم الحفرة. ينبغي على السلطات تعجيل هجرتهم أكثر من 6000 شخصا في 15 تموز

أفادت أسوشيتد برس في 15 يوليو ان السلطات الاندونيسية لتسريع اجلاء نحو 6000 شخص من المخاطر على مأوى مؤقت. على علو 1750 مترا البركان الساخنة في سولاويزي. الحمم تتدفق مياه التسرب الغليان من فم الحفرة. على طول المنحدر. الغرب هو حرائق الغابات الكبيرة. الخبراء يحذرون من أنه قد اندلعت مجددا في وقت قريب. وكان في وفاة حالة و1 امرأة تتراوح أعمارهم بين 65 عاما ، وأحداث صدمة قلبية أثناء التشغيل.

وأكثر من 27000 شخص الذين يعيشون في غضون 3.5 كيلومتر من البركان باخلاء إلى مكان آمن أيضا ، السيد نيلسون ، وقال إن ادا كان الوضع مخيفا جدا. ضوء ينبعث منها الحمم مصباح في الظلام. ويبدو وكأننا على.

سوق الشورجة .. أشهر أسواق بغدا

วันศุกร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

รวบยกแก๊งอ้างเป็นตำรวจ ตระเวนลักทรัพย์โกดังสินค้าย่านร่มเกล้า ลาดกระบัง สูญหลายล้านบาท ตะครุบได้พร้อมของกลางอื้อ

วันนี้( 15 ก.ค.) พล.ต.ต ศานิตย์ มหถาวร ผบก.น.3 พ.ต.อ.สมชาย เชยกลิ่น ผกก.สน.ลาดกระบัง พ.ต.ท.พนม เชื้อทอง รอง ผกก.สส. แถลงข่าวจับกุมแก๊งอ้างเป็นตำรวจเข้าไปลักทรัพย์ในบริษัทและปล้นทรัพย์ รถขนสินค้า ประกอบด้วนนายเนตร วงษ์ประสิทธิ์ อายุ 34ปี นายวิทยา หรือสุข ชะวูรัมย์ อายุ 37ปี นายพิชิต หรือแห้ว รือหงส์ยนต์ อายุ 32 ปี นายเติมพงศ์ หรือตุ้ย พูลมา อายุ 30 ปี นายอนันต์ หรือบัง วงษ์หวังจันทร์ อายุ 33ปี นายวรียุทธ หรือ ไก่ ราศี อายุ 26 ปี นายจุตพร หรือเอก เหล่าภักดี อายุ 31 ปี นายพิษณุ หรือนุ รัตนวิลัย อายุ 41ปี และนายวิศรุต หรือการ มหาเรือนลาภ อายุ 26 ปี พร้อมของกลางเป็นเครื่องปรับอากาศยี่ห้อต่างๆ รวม 21 ชุด มูลค่า 1 ล้านบาท เครื่องใช้ไฟฟ้ารวม 10 รายการ และรถยนต์ กระบะ โตโยต้า วีโก้ สีดำ ทะเบียน ฎษ-7297กรุงเทพมหานคร ติดสติกเกอร์สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สัญญาณไฟไซเรน
พล.ต.ต ศานิตย์ กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อเที่ยงวันที่ 13 ก.ค.เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ลาดกระบัง ได้รับแจ้งจาก รปภ.บริษัท เอพีแอล โลจิสติคส์ เอสวีซีเอส ประเทศไทย จำกัด ย่านถนนร่มเกล้า ว่ามีคนร้ายขับรถบรรทุกเข้ามาขนสินค้าประเภทเครื่องปรับอากาศจำนวน 40 ชุด ระหว่าง เมื่อขอตรวจใบนำสินค้าออกจากโกดัง ผู้ต้องหาได้ขับรถบรรทุกพุ่งเข้าชนประตูหลบหนีไป จำได้ว่าคือนายพิชิต หรือแห้ว นายเติมพงศ์ นายอนันต์ และนายวีรยุทธ ซึ่งเป็นพนักงานของบริษัท จึงนำตัวมาสอบสวน จนทราบว่า ร่วมกับนายวิทยา และนายเนตร นำรถบรรทุกเข้ามาขนสินค้าไป โดยนายเนตรแอบอ้างเป็นตำรวจ สน.ลาดกระบัง แลกบัตรเข้าไปภายในบริษัท เพื่อนำไปขายให้กับนายวีรยุทธ นายจตุพร และนายพิษณุ กระทั่งตำรวจสามารถติดตามจับกุมได้ยกแก๊ง พร้อมของกลาง ทั้งนี้พบว่าผู้ต้องหาแก๊งนี้ ได้ซื้อบ้านในหมู่แห่งหนึ่งใน จ. ฉะเชิงเทรา ไว้เก็บของที่ขโมยได้มาถึงสามหลังติดกัน
พล.ต.ต.ศานิตย์กล่าวต่อว่า จากการสอบสวนนายเนตรให้การรับสารภาพว่าเข้าไปขนเครื่องปรับอากาศจากบริษัทนี้มาแล้ว ราว 10 ครั้ง ครั้งละ 40 ชุด โดยมีพรรคพวกที่ถูกจับกุมเป็นพนักงานในบริษัทและตนกับนายวิทยา ทำงานเป็นคนโหลดของในสนามบินและรับจ้างส่งสินค้าตามโกดัง จึงรู้ช่องทางเป็นอย่างดี นอกจากนี้นายเนตรยัง รับสารภาพอีกว่า ยังได้ก่อเหตุลักษณะดังกล่าวอีกหลายครั้ง โดยมักอ้างตัวเจ้าหน้าที่ตำรวจ เมื่อได้ทรัพย์สินมาจะนำไปแบ่งกัน เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อกล่าวหาร่วมกันลักทรัพย์ โดยใช้ยานพาหนะ และรับของโจร ควบคุมตัวดำเนินคดีต่อไป.
กองปราบปรามตามจับกุมหนุ่มแสบร่วมกับพวกอ้างตัวเป็นตำรวจอุ้มพ่อค้าของชำยัดข้อหาค้ายาเสพติด ก่อนปล้นทรัพย์ร่วม 3 แสนบาท
วันนี้ ( 15 ก.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ กองปราบปราม พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ผบก.ป. พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รอง ผบก.ป.พ.ต.อ.ปิยะ เจริญสุข ผกก.1 บก.ป. พ.ต.ท.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ รอง ผกก.1 บก.ป. พ.ต.ท.เกียรติศักดิ์ สระทองออย สว.กก.1 บก.ป. และ พ.ต.ท.พุทธพงศ์ เมฆเอี่ยมนภา สว.กก.1 บก.ป.และ ร.ต.อ.อุรัมพร ขุนเดชสัมฤทธิ์ รอง สว.กก.1 บก.ป. แถลงข่าวจับกุม นายศรีสุริเยน ศรีกมลภักดี อายุ 27 ปี อยู่บ้านเลขที่ 117 หมู่ที่ 9 ต.โพนเมือง อ.อาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ด ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 1089/2554 ลงวันที่ 7 ก.ค.54 ข้อหาปล้นทรัพย์ในสถานที่ราชการโดยใช้ยานพาหนะ ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่น โดยใช้กำลังประทุษร้ายและร่วมกันหน่วงเหนี่ยงกักขังผู้อื่น โดยจับกุมได้ที่บริเวณลานจอดรถ สน.คลองตัน ถนนพัฒนาการ แขวงและเขตสวนหลวง กทม.
พล.ต.ต.สุพิศาล กล่าวว่า เมื่อวันที่ 26 พ.ค. ที่ผ่านมา ผู้ต้องหา ร่วมกับพวก รวม 3 รายปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ บช.ปส.ได้จับกุม นายบุญส่ง อาภรณ์ อายุ 25 ปี ผู้เสียหายซึ่งประกอบอาชีพขายของชำ โดยอ้างว่ามีหมายจับยาคดียาเสพติด ก่อนบังคับผู้เสียหายขึ้นรถยนต์ขับเข้ามาที่บริเวณลานจอดรถ กองปราบปราม จากนั้นคนร้ายได้ใช้มือตบศีรษะ นายบุญส่ง และต่อยท้อง ก่อนบังคับเอาสร้อยคอทองคำหนัก 5 บาท จำนวน 1 เส้น สร้อยข้อมือทองคำหนัก 3 บาท จำนวน 1 เส้น แหวนทองคำ หนัก 1 บาท จำนวน 2 วง เงินสด 60,000 บาท รวมทรัพย์สินจำนวน 276,800 บาทไป และยังข่มขู่ให้ผู้เสียหายโอนเงินให้อีก มิฉะนั้นจะมาจับอีกครั้ง จากนั้นกลุ่มผู้ต้องหาได้พา นายบุญส่ง ไปปล่อยไว้ที่บริเวณริมถนน ตรงข้ามเซ็นทรัล ลาดพร้าว และพากันหลบหนี
พล.ต.ต.สุพิศาล กล่าวต่อว่า จากนั้น นายบุญส่ง ได้ไปขอความช่วยเหลือกับมูลนิธิวีณาฯ ทางมูลนิธิฯ จึงได้พาผู้เสียหายมาแจ้งความร้องทุกข์ กับพนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป. กระทั่งสืบสวน จากภาพกล้องวงจรปิดทราบว่ากลุ่มคนร้ายได้ใช้รถยนต์ ยี่ห้อ ฮอนด้า รุ่นแอคคอร์ด สีดำ ทะเบียน ฌฮ 2714 กทม. ซึ่งเป็นทะเบียนรถยนต์ยี่ห้อ โตโยต้า ที่มีการแจ้งหาย ไว้ที่ สน.ห้วยขวาง และบัญชีธนาคารที่คนร้ายให้ผู้เสียหายโอนไป เป็นชื่อของหญิงเชื้อสายกระเหรี่ยง ซึ่งยากต่อการตรวจสอบ ส่วนประวัติเหยื่อไม่เคยมีประวัติคดีใดๆ หรือหมายจับคดียาเสพติดมาก่อน
พล.ต.ต.สุพิศาล กล่าวอีกว่า ต่อมาเจ้าหน้าที่สืบทราบว่าหนึ่งในคนร้ายมีชื่อในวงการว่า “ ผู้กองต้น” ตรวจสอบพบว่าเคยมีประวัติการต้องโทษ ที่ สน.คลองตัน ถูกจับกุมในคดีข้อหา ปลอมและใช้เอกสารราชการปลอมฯ โดยมีบัตรประจำตัวข้าราชการตำรวจ (ปลอม) ระบุชื่อ ร.ต.อ.ศรีสุริเยน ศรีกมลภักดี ตำแหน่ง รอง สว.อก.(ฝ่ายอำนวยการ 1) บก.ตปพ.(191) ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างประกันตัว จากนั้นชุดสืบสวน กก.1 บก.ป ได้นำภาพ นายศรีสุริเยน ไปให้ผู้เสียหายดู ซึ่งก็ยืนยันว่าเป็นหนึ่งในผู้ต้องหาที่ทำร้ายร่างกายและเอาทรัพย์สินไป จึงได้ขออนุมัติศาลอาญา ออกหมายจับ กระทั่งจับกุมตัวได้ดังกล่าว
จากการสอบสวน นายศรีสุริเยน ให้การรับสารภาพว่ามีหน้าที่ขับรถยนต์ พาผู้เสียหายไปบังคับเอาทรัพย์ที่กองปราบปรามจริง โดยไม่เคยรู้จักกับเหยื่อมาก่อน
พล.ต.ต.สุพิศาล กล่าวด้วยว่า ฝากประชาสัมพันธ์ไปยังพี่น้องประชาชนว่าหากผู้ใดเคยตกเป็นเหยื่อของคนร้ายกลุ่มนี้ ให้มาดูตัวผู้ต้องหา หรือแจ้งความเพิ่มเติมได้ที่ กองบังคับการปราบปราม ส่วนผู้ต้องหาได้นำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน บก.ป. ดำเนินคดีตามกฎหมาย พร้อมทั้งสั่งการให้เร่งจับกุมผู้ร่วมกระทำความผิดที่เหลือมาดำเนินคดีต่อไป