วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2554

Greetings friends.

มันเทศญี่ปุ่นปนเปื้อนสารกัมมันตรังสี

พบแล้ว “มันเทศ” เปื้อนกัมมันตรังสี อย.เตรียมหาวิธีทำลาย-จ่อปลาทะเลคาด 2 สัปดาห์เข้าไทย

28 มีนาคม 2554 15:17 น.

ภาพประกอบจากอินเทอร์เนต
       พบแล้ว! มันเทศญี่ปุ่นปนเปื้อนสารกัมมันตรังสี อย.สั่งระงับการจำหน่ายแล้ว  ยันต้องหารือร่วมสำนักปรมาณูฯ เพื่อหาวิธีทำลาย แม้ปริมาณสารยังต่ำกว่ามาตรฐานที่ WHO กำหนดก็ตาม  เร่งเตรียมพร้อมตรวจปลาทะเลหลังพบกัมมันตรังสีปนเปื้อนน้ำทะเลในญี่ปุ่นสูง หลายเท่าตัว คาดจะมาถึงไทยอีก 2 สัปดาห์
      
             วันนี้ (28 มี.ค.)  นายจุรินทร์  ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรี ว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า  จากการที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) ได้เร่งตรวจสอบอาหารนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น หลังเกิดเหตุการณ์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ระเบิดตั้งแต่วันที่ 16 มี.ค.- 27 มี.ค.และได้รับรายงานผลจากสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติทั้งหมด 94 ตัวอย่าง  แบ่งเป็นปลาสด 65   ตัวอย่าง หอย 6 ตัวอย่าง กุ้ง 4 ตัวอย่าง ปลาหมึก 6 ตัวอย่าง สาหร่าย 1 ตัวอย่าง มันเทศ 3 ตัวอย่าง แอบเปิล 1 ตัวอย่าง สตรอเบอร์รี 4 ตัวอย่าง  ลูกพลับแห้ง 1 ตัวอย่าง แป้งสาลี  2 ตัวอย่าง และผักกาดดอง 1 ตัวอย่าง   พบว่า มีมันเทศ  1 ตัวอย่างที่ปนเปื้อนสารกัมมันตรังสี  (ไอโอดีน 131 )  แต่พบอยู่ในระดับ 15.25 เบคเคอเรลต่อ 1 กิโลกรัม ซึ่งไม่ได้เกินมาตรฐานตามที่องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดไว้ คือ  100  เบคเคอเรลต่อ 1 กิโลกรัม  ทั้งนี้ อย.ได้ระงับรายการดังกล่าว ไม่ให้มีการกระจายและจำหน่ายแล้ว
      
       
      
                ด้าน นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการ  อย.   กล่าวว่า สำหรับตัวอย่างมันเทศที่ตรวจพบนั้นมีจำนวน 75 กิโลกรัม ซึ่งมาจากจังหวัดอิบารากิ  บนเกาะฮอนชูของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงที่ทางการญี่ปุ่นได้ประกาศเตือน  ทั้งนี้ อย.ได้สั่งระงับการนำเข้าของสินค้าดังกล่าวตั้งแต่วันที่  25  มี.ค.แล้ว  หลังจากสำนักปรมาณูฯได้รายงานผลมาเมื่อวันที่ 24 มี.ค.
      
       “ขั้นตอนต่อไปทาง อย.จะต้องเร่งหารือกับสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติเพื่อหาวิธี การทำลายทิ้งต่อไป แต่ระหว่างนี้ก็จะยังมีการตรวจสอบดูระดับปริมาณของสารไอโอดีน 131  ว่า ลดน้อยลงหรือไม่ เนื่องจากสารชนิดนี้มีช่วงชีวิตของตัวเอง โดยทุกๆ 8 วันปริมาณสารจะลดลงครึ่งหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตาม จะต้องมีการทำลายทิ้งอยู่ดี เพื่อเป็นการป้องกัน แม้ปริมาณที่ตรวจพบจะน้อย ไม่ถือเป็นอันตรายก็ตาม” นพ.พิพัฒน์ กล่าว
      
                 ต่อข้อถามว่า  ขณะนี้พบการปนเปื้อนสารกัมมันตรังสีในน้ำทะเลของญี่ปุ่นในปริมาณสูงหลายเท่า ตัว อย.จะมีมาตรการตรวจเข้มอาหารทะเลหรือไม่  นพ.พิพัฒน์ กล่าวว่า โดยหลักการหากมีการปนเปื้อนในน้ำทะเล การกระจายจะดีมาก ซึ่งอาหารทะเลที่จะได้รับผลกระทบมักเป็นปลาทะเลชายฝั่งมากกว่าปลาทะเลน้ำ ลึก  แต่ อย.มีวิธีการสุ่มตรวจอยู่แล้ว  ซึ่งส่วนใหญ่ไทยจะนำเข้าปลาซาบะ และปลาเมคคาเรล ซึ่งจะต้องมีการตรวจสอบต่อไป  อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่ต้องวิตกกังวล เบื้องต้นคาดว่าหากจะได้รับผลกระทบจริงๆ น่าจะอีกประมาณ 2 อาทิตย์ไปจนถึง 1 เดือน

วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2554

โจรกรุงควงปืนบุกเดี่ยวชิงทรัพย์ร้านทอง ยิงลูกจ้างสาวเจ็บ!


โจรกรุงควงปืนบุกเดี่ยวชิงทรัพย์ร้านทอง ยิงลูกจ้างสาวเจ็บ!
โดย ทีมข่าวอาชญากรรม 27 มีนาคม 2554 17:47 น.

เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบปากคำลูกจ้างภายในร้านทองที่เกิดเหตุภายหลังถูกคนร้ายบุกเดี่ยวจี้ชิงทรัพย์กวาดทองรูปพรรณน้ำหนัก 60 บาท

เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบปากคำน.ส.วิชุดา จันทร์ฉาย อายุ 28 ปี ลูกจ้างขายทองของร้านซึ่งถูกคนร้ายยิงได้รับบาดเจ็บ

ภาพจากกล้องวงจรปิดของร้านทองที่จับภาพขณะคนร้ายกำลังหยิบทองรูปพรรณในตู้โชว์


โจรกรุงสวมหมวกกันน็อกเต็มใบ ควงปืนบุกเดี่ยวชิงทรัพย์ร้านทองย่านราษฎร์บูรณะ กวาดทองรูปพรรณหนักร่วม 60 บาท มูลค่ากว่า 1.3 ล้าน ลูกจ้างสาวร้องเรียกคนช่วยถูกยิงเจ็บ ก่อนซิ่ง จยย.หนีลอยนวล

วันนี้ (27 มี.ค.) เมื่อเวลา 12.30 น. พ.ต.ท.ธีระ กิจบำรุง พนักงานสอบสวน (สบ3) สน.ราษฎร์บูรณะ รับแจ้งเหตุคนร้ายบุกชิงทรัพย์ร้านทอง ก่อนใช้อาวุธปืนยิงคนในร้านได้รับบาดเจ็บ เหตุเกิดที่ร้านทองจิรสุวรรณ เลขที่ 123/2 ถนนประชาอุทิศ ปากซอยประชาอุทิศ 54 แขวง-เขตทุ่งครุ จึงรุดไปตรวจสอบพร้อม พล.ต.ต.สุเมธ เรืองสวัสดิ์ รองผบช.น. พ.ต.อ.ปิยะ ต๊ะวิชัย รองผบก.น.8 พ.ต.อ.มานพ สุคนธ์ธนพัฒน์ ผกก.สน.ราษฎร์บูรณะ พ.ต.ท.สมศักดิ์ วงศ์ชัยประเสริฐ รองผกก.ป. และเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานกลาง

ที่เกิดเหตุเป็นอาคารพาณิชย์สูง 4 ชั้นครี่ง เปิดเป็นร้านขายทองรูปพรรณ เจ้าหน้าที่พบหยดเลือดจำนวนหนึ่งอยู่บริเวณทางเข้าร้าน โดยภายในร้านพบพนักงานขายทองของร้านยืนจับกลุ่มวิพากษ์ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น สภาพตื่นตกใจ บริเวณตู้กระจกโชว์ทองรูปพรรณ พบกระจกบานเลื่อนถูกเปิดออก มีสร้อยคอทองคำกระจัดกระจาย ที่บริเวณพื้นทางเดินหินอ่อนมีหัวกระสุนฝังอยู่ที่พื้นจำนวน 1 นัด ส่วนคนเจ็บทราบว่า นำส่ง รพ.ราษฎร์บูรณะ ไปก่อนหน้า ทราบชื่อ น.ส.วิชุดา จันทร์ฉาย อายุ 28 ปี ลูกจ้างขายทองของร้าน ถูกยิงด้วยอาวุธปืนขนาด .38 เข้าที่ ก้นด้านซ้าย จำนวน 1 นัด และต้นขาขวา จำนวน 1 นัด แพทย์เร่งทำการรักษาเป็นการด่วน

จากการสอบสวนทราบว่า ร้านขายทองดังกล่าวเป็นของ นางสุนันทา อมรสิริวัฒน์ ซึ่งขณะเกิดเหตุไม่ได้อยู่ร้าน มีเพียงลูกจ้างขายทองทำงานอยู่เพียง 3 คน ระหว่างนั้นพบว่า คนร้ายเป็นชายสูงประมาณ 170-180 ซม.สวมหมวกกันน็อกเต็มใบสีดำ สวมเสื้อคลุม และกางเกงสีดำ พร้อมสวมถุงมือทั้ง 2 ข้าง สะพายกระเป๋าแบบสะพายข้างเปิดร้านตรงเข้ามา ลูกจ้างภายในร้านทั้ง 3 คน จึงพยายามบอกให้ถอดหมวกกันน็อก แต่ปรากฏว่า คนร้ายได้ชักอาวุธปืนก่อนยิงเข้าใส่จำนวน 2 นัด กระสุนพุ่งเข้าที่ตู้โชว์ทอง และฝังที่พื้นทางเดิน

หลังจากนั้น คนร้ายได้เดินอ้อมตู้โชว์ทองเข้ามาที่ด้านหลัง ก่อนเปิดกระจกบานเลื่อนแล้วหยิบทองรูปพรรณอย่างรวดเร็ว เป็นสร้อยคอทองคำรูปพรรณหนัก 3 บาท จำนวน 12 เส้น สร้อยคอทองคำหนัก 2 บาท จำนวน 12 เส้น น้ำหนักรวมทั้งหมด 60 บาท มูลค่าความเสียหายกว่า 1.3 ล้านบาท ระหว่างคนร้ายกำลังจะวิ่งหนีออกจากร้าน ปรากฏว่า น.ส.วิชุดา คนเจ็บได้เปิดประตูร้านร้องเรียกคนช่วย ทำให้คนร้ายใช้อาวุธปืนกระบอกดังกล่าว กระหน่ำยิงใส่ น.ส.วิชุดา จำนวน 2 นัด จนล้มลง ก่อนที่คนร้ายจะขับขี่รถ จยย.ฮอนด้าคลิก สีดำคาดขาว ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ขับขี่หลบหนีไปทางซอยประชาอุทิศ 69

พล.ต.ต.สุเมธ กล่าวว่า คนร้ายได้ทองคำรูปพรรณไปทั้งสิ้นจำนวน 24 เส้น น้ำหนัก 60 บาท โดยก่อนที่คนร้ายจะลงมือ คาดว่า น่าจะมีการมาดูลาดเลาอย่างละเอียดแล้ว เนื่องจากช่วงเวลาลงมือ อาศัยช่วงจังหวะที่ตำรวจที่เฝ้าร้านทองดังกล่าว เพิ่งออกจากร้านได้ไม่ถึง 10 นาที ทั้งนี้ ภาพจากกล้องโทรทัศน์วงจรปิดของทางร้าน จับภาพได้ พบว่า คนร้ายใช้มือซ้ายถืออาวุธปืน ก่อนกระหน่ำยิงข่มขู่ก่อนจำนวน 2 นัด และใช้มือขวาในการหยิบทองจากตู้โชว์ทอง ก่อนจะใช้ปืนยิงเข้าใส่คนเจ็บเปิดทางหนีอีกจำนวน 2 นัด รวมทั้งสิ้น 4 นัด ซึ่งได้สั่งการให้ฝ่ายสืบสวนลงพื้นที่ตรวจสอบกล้องวงจรปิดในละแวกใกล้เคียงอย่างละเอียดแล้ว เพื่อตรวจสอบหารายละเอียดของคนร้ายให้ได้มากที่สุด โดยเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานได้เก็บร่อยรอยลายนิ้วมือแฝงของคนร้ายแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการสอบถาม จยย.รับจ้างรายหนึ่ง ซึ่งเห็นเหตุการณ์ ทราบว่า ก่อนคนร้ายจะก่อเหตุได้ขับขี่รถเฉี่ยวชนกับรถตนเอง บริเวณปากซอยประชาอุทิศ 69 ก่อนที่คนร้ายจะรีบขับขี่หนีอย่างรวดเร็ว ซึ่งตนเองก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร ทั้งนี้ หลังจากที่ตนเองขับมาส่งลูกค้าที่บริเวณใกล้ที่เกิดเหตุ และได้ขับรถกลับ ก็ยังพบว่าคนร้ายได้ใช้เส้นทางที่สวนกันตรงปากซอยประชาอุทิศ 69 เป็นเส้นทางในการขับขี่หลบหนีหลังก่อเหตุอีก

วันพุธที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2554

เด้ง ผกก.กันตังคนสนิท ผบช.ภาค 9 เหตุตามคดียิงน้องชายนายกเล็กไม่คืบ

เด้ง ผกก.กันตังคนสนิท ผบช.ภาค 9 เหตุตามคดียิงน้องชายนายกเล็กไม่คืบ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 24 มีนาคม 2554 10:53 น.
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
พ.ต.อ.วิชัย อินทวงศ์

ตรัง - นายตำรวจคนสนิท ผบช.ภ.9 ถูกเด้งออกจากพื้นที่ หลังจากถูกร้องเรียนเรื่องการไม่ติดตามคดียิงน้องชายนายกเล็กเมืองกันตัง จังหวัดตรัง เผยประวัติเคยโด่งดังกรณีแซงหน้า "จ่าเพียร" ลงนั่งตำแหน่ง ผกก.กันตัง จนกระทั่ง “จ่าเพียร” ไม่ได้รับการโยกย้ายและต้องจบชีวิตที่บันนังสตา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 23 มีนาคม ที่ผ่านมา พล.ต.ต.สาคร ทองมุณี ผบก.ภ.จว.ตรัง ได้ลงนามคำสั่ง ภ.จว.ตรัง ที่ 96/2554 ให้ พ.ต.อ.วิชัย อินทวงศ์ ผกก.สภ.กันตัง ไปปฏิบัติหน้าที่ช่วยราชการ สภ.สิเกา และให้ พ.ต.อ.ชรินทร์ โกพัฒน์ตา ผกก.สภ.สิเกา ไปช่วยราชการ สภ.กันตัง พร้อมทั้งลงนามคำสั่ง ภ.จว.ตรัง ที่ 97/2554 ให้ ด.ต.มงคล หรือ จ่ากุ้ย บริสุทธิ์ ผบ.หมู่งานจราจร สภ.กันตัง ไปปฏิบัติหน้าที่ที่ ภ.จว.ตรัง เนื่องจากมีความขัดแย้งกับ นายสุดจิตต์ ภาษีทวีเกียรติ อายุ 55 ปี เสี่ยใหญ่เมืองกันตัง ซึ่งเป็นน้องชายนายสมเกียรติ ภาษีทวีเกียรติ หรือโกหัวแดง นายกเทศมนตรีเมืองกันตัง อย่างรุนแรงเมื่อปี 2547

ทั้งนี้ ผลพวงคำสั่งโยกย้าย พ.ต.อ.วิชัย อินทวงศ์ ผกก.สภ.กันตัง ซึ่งเป็นนายตำรวจคนสนิท พล.ต.ท.วีระยุทธ สิทธิมาลิก ผบช.ภ.9 พ้นจากพื้นที่ดังกล่าว เนื่องจากถูก นายสุดจิตต์ ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรม ร้องเรียนต่อ พล.ต.ต.สาคร ทองมุณี ผบก.ภ.จว.ตรัง ว่า พ.ต.อ.วิชัย สืบสวนสอบสวนคดีคนร้ายใช้อาวุธปืน ขนาด.357 ยิง นายสุดจิตต์ เมื่อเวลา 02.00 น. วันที่ 5 มีนาคม 2554 เหตุเกิดบนถนนรัษฎา ตรงข้ามท่าเทียบเรือต่างประเทศในเขตเทศบาลเมืองกันตัง แต่คดีเป็นไปด้วยความล่าช้า และไม่มีความคืบหน้าใด อีกทั้งยังอาจจะมีส่วนพัวพันเรียกรับผลประโยชน์จากการพนันในพื้นที่ด้วย ผบก.ภ.จว.ตรัง จึงมีคำสั่งย้ายให้ไปช่วยราชการ และเตรียมแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนข้อเท็จจริงทางวินัยด้วย

นายสมเกียรติ ภาษีทวีเกียรติ หรือโกหัวแดง นายกเทศมนตรีเมืองกันตัง ระบุว่า ตนได้ติดตามความคืบหน้าคดีที่ นายสุดจิตต์ น้องชายถูกลอบยิง แต่เนื่องจากไม่มีความคืบหน้า ทำให้ตนกลัวว่าคดีจะถูกปิดเงียบ เพราะยังไม่มีการติดตามจับกุมคนร้ายมาลงโทษตามกฎหมายบ้านเมือง อีกทั้งยังมีเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับชั้นประทวนนายหนึ่งซึ่งมีปัญหาความขัดแย้งกับน้องชายของตน เข้าไปพัวพันอยู่ด้วย จึงได้ไปร้องขอความเป็นธรรมกับ ผบก.ภ.จว.ตรัง เพื่อให้เร่งรัดคดี ส่วนคำสั่งย้าย ผกก.สภ.กันตัง ไปช่วยราชการนั้น เป็นอำนาจหน้าที่ของผู้บังคับบัญชาที่จะดำเนินการ เพื่อไม่ให้มีผลต่อรูปคดี สำหรับประเด็นเรื่องอื่นๆ ที่มีผลทำให้ต้องโยกย้ายไปช่วยราชการหรือไม่นั้นตนไม่ทราบ

สำหรับ พ.ต.อ.วิชัย เคยตกเป็นข่าวโด่งดังในระดับประเทศมาแล้ว เมื่อเดือนมีนาคม 2553 จากกรณีที่ พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา หรือ จ่าเพียร อดีต ผกก.สภ.บันนังสตา จ.ยะลา ถูกคนร้ายยิงเสียชีวิตจากเหตุการณ์ก่อความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นเคยเข้าร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมในคำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจ กับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี

ตอนแรก พ.ต.อ.สมเพียร ได้เสนอตัวขอโยกย้ายมาเป็น ผกก.สภ.กันตัง แต่ปรากฎว่าต่อมามีการวิ่งเต้นกัน ทำให้ พ.ต.อ.สมเพียร ยังคงต้องเป็น ผกก.สภ.บันนังสตา ต่อไป จนกระทั่งมาถูกยิงเสียชีวิต ในขณะที่ พ.ต.อ.วิชัย นายตำรวจคนสนิท พล.ต.ท.วีระยุทธ สิทธิมาลิก ผบช.ภ.9 ถูกโยกย้ายจาก ผกก.สภ.หาดสำราญ จังหวัดตรัง มาเป็น ผกก.สภ.กันตัง
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้พยายามขอสัมภาษณ์ พ.ต.อ.วิชัย แต่ไม่สามารถติดต่อได้

Gadhafi tanks turned into wreckage 1:

Wanderlusts of a Travtarian: GPS-less in India

Wanderlusts of a Travtarian: GPS-less in India: "A few weeks ago, I returned from a trip to India (work-related) and India is such a fascinating place to visit! Aside from the general..."

Mulia Ramadon

วันอังคารที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2554

บทความ ฉันจะข่มขืนประชาชนและข่มขืนประชาธิปไตย!!!

เสียงแผดดังออกมาจากสภา ทำให้เราๆท่านๆทราบทันที่ว่า ถ้ารัฐบาลยุบสภา ประกาศให้มีการเลือกตั้งทั่วประเทศ ตามวาทกรรมคืนอำนาจให้ประชาชน
และพูดต่อให้ฟังแบบดูดีว่า ต้องคืนอำนาจ ประกาศให้มีการเลือกตั้ง ใครสามารถเข้ามาได้ ก็ถือว่าได้อำนาจมาถูกต้องตามระบอบประชาธิปไตย
ผลหรือภาพที่เห็นไม่ต่างกับ
ผู้ใหญ่หื่นกามที่พยายามยื่นขนมให้เด็กสาว พร้อมพูดคำหวาน เมื่อเด็กสาวรับขนมไป ผู้ใหญ่ตนนั้นก็จะข่มขืนเด็กผู้หญิงทันที
เด็กผู้หญิงคนนั้นต้องรออีก 4 ปีจีงจะมีราคาอีกครั้ง
ให้กลับมามองอีกมุมหนึ่ง
เมื่อประกาศผลการเลือกตั้งแล้ว ปรากฎว่า ได้นักการเมืองเน่าๆเข้ามา ไม่ต่างกับไล่คุณเวรไปได้คุณรับประทานมา
เมื่อนักการเมืองเน่าๆได้ร่วมผสมพันธ์ุกันสำเร็จแล้ว ก็จัดตั้งรัฐบาล แล้วจะดำเนินการข่มขืนประชาธิปไตย ในรูปแบบเผด็จการ
ตัวอย่างมีมากมาย ลองสัก 3 ตัวอย่าง ที่ผ่านมาแบบเห็นจะจะฉันก็จะทำ.!!!
1. การแก้ไขรัฐธรรมนูญ เรื่องการเลือกตั้งจากรวมเขต มาเป็นเขตเดียวเบอร์เดียว โดยไม่มีประชามติ ไม่เห็นหัวประชาชน
2. จากข้อ 1. มิได้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติเลย แต่ให้ประโยชน์ต่อตัวนักการเมืองเอง เขตเดียวเบอร์เดียวง่ายต่อการซื้อเสียง...
3. ก่อนมีรัฐธรรมนูญ ใช้ร่างก่อน ต่อมาให้ประชาชนลงประชามติ แล้วประกาศใช้ ตรงนี้น่าเลื่อมใสได้คะแนนนิยม
ต่อมาถึงตอนที่ตนเองจะแก้กฎหมายรัฐธรรมนูญ กลับใช้กำลังข่มขืนประชาธิปไตย ไม่บอกพ่อแม่พี่น้อง 65 ล้านคนเจ้าของประเทศเลย
เขียนมาถึงตรงนี้
ต้องถามตัวเองว่า ที่เรามีความภูมิใจเกิดเป็นคนไทย มีการปกครองระบอบประชาธิปไตย
ถึงคราวที่เรา จะถูกนักการเมืองข่มขืนพร้อมกันทั่วประเทศ แถมคนในชาติทุกคนที่ถือประชาธิปไตยอยู่ในมือแท้ๆ นักการเมืองก็ยังไม่เว้น
จับประชาธิปไตยข่มขืนอีก...
คำถาม ต่อมามีคนสงสัยว่า นักการเมืองข่มขืนประชาธิปไตยได้หรือ เป็นแบบไหน ไม่เห็นภาพ ไม่เข้าใจ
คำตอบ ตัวอย่างเช่น เวลารัฐบาล นายก รัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ ทุจริตหรือทำผิด เอื้อประโยชน์ให้พวกพ้อง อย่างเรื่องหลบเสียภาษี เมื่อประชาชนจับได้ ก็ไม่มีอำนาจไปตรวจสอบ
จะเดินเข้าสภาไปใช้สิทธิแบบส.ส.ก็ไม่ได้ ก็ต้องออกมาเสียงดังข้างถนนอีก หากพูดจาตรงเกินไป อาจถูกนักการเมืองใช้เครื่องมือ ที่เราเรียกว่า กฎหมายมาจัดการให้เดือดร้อนและให้เงียบเสียงไป
เช่น การฟ้องหมิ่นประมาททางแพ่งและอาญา
แล้วใครมาโต้แย้งอีก รัฐบาลก็จะมาออกรายการน่ารักน่าฟังว่า พวกนี้เป็นพวกป่วนการเมือง ทำบ้านเมืองวุ่นวายและเป็นพวกเสียงคนส่วนน้อยของคนในประเทศ
และตอบคำหวานตอกฝาโลงว่า ผมชนะการเลือกตั้งมา (ภายใน 4 วินาที) อำนาจที่ได้มาก็มาจากการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์
บทความนี้มีคำตอบแค่ 2 บรรทัดเท่านั้น...
คำตอบ เป็นอุทาหรณ์ว่า การข่มขืนประชาชนและประชาธิปไตยไปเรื่อยๆแล้วได้อำนาจมา แต่ให้ระวัง อำนาจตุลาการ ที่สามารถล้ม อำนาจนิติบัญญัติและอำนาจบริหารได้
ถ้าคุณประมาท บ้าอำนาจ ข่มขืนใครไปทั่วเป็นว่าเล่น เวรกรรมทางกฎหมายก็มีจริงเช่นกัน...อย่างอดีตนายกที่ผ่านมา...

Fighter jets hit Libyan army convoy 2

Dozens dead in Yemen clashes 2:


วันจันทร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2554

Irish Stew - Irish Lamb Stew

ลูกน้อง เสธ.แดง สำนึกผิดโผล่มอบตัวกองปราบฯ

ลูกน้อง เสธ.แดง โผล่มอบตัวคดีอาวุธปืน เจอดีผีห้องขังกองปราบหลอกซะ!
โดย ทีมข่าวอาชญากรรม 21 มีนาคม 2554 16:39 น.

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
นายมงคล สารพัน อายุ 44 ปี ลูกน้องเสธ.แดง


ผู้ต้องหาคดีข่มขืนหลานสาว ที่ผูกคอตายในห้องขังของกองปราบปราม จนเป็นที่มาของผีกองปราบที่แพร่หลาย

ลูกน้อง เสธ.แดง สำนึกผิดโผล่มอบตัวกองปราบฯ คดีอาวุธปืน หลังไม่ไปรายงานตัวตามศาลนัดและถูกออกหมายจับ ก่อนเปลี่ยนใจเข้ามอบตัว แต่กลับเจอดีผีกองปราบเล่นงาน ถูกชายกางเกงแดงดึงขา ต้องวอน ตร.นั่งคุยเป็นเพื่อนยันเช้า พบประวัติเอี่ยวคดีระเบิดหลายแห่งแถมเคยมีหมายจับ พ.ร.ก.ฉุกเฉินติดตัว
     
       วันนี้ (21 มี.ค.) ที่กองปราบปราม เมื่อเวลา 08.30 น. พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ผบก.ป. สั่งการให้ พ.ต.อ.นัยวัฒน์ ผะเดิมชิต รอง ผบก.ป. พ.ต.ท.วรทัศน์ วัฒนชัยนันท์ พนักงานสอบสวน (สบ2) กก.1 บก.ป.พร้อมกำลังควบคุมตัว นายมงคล สารพัน อายุ 44 ปี อยู่บ้านเลขที่ 96/1 หมู่ 7 ต.บางพึ่ง อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 396/53 ลงวันที่ 7 พฤษภาคม 2553 ไปส่งศาลอาญาดำเนินคดี หลังผู้ต้องหาเดินทางเข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวนเมื่อค่ำวันที่ 20 มีนาคมที่ผ่านมา
     
       ทั้งนี้ สืบเนื่องจากผู้ต้องหาร่วมกับ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง กับพวกอีก 6 คนได้กระทำผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ และช่วยเหลือนายพรวัฒน์ ทองธนบูรณ์ หรือเคทอง ผู้ต้องหาตามหมายจับคดีนำคลิปวิดีโอเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์โดยกล่าวในคลิ ปเพื่อข่มขู่ให้ประชาชนตกใจกลัวเกี่ยวกับเหตุระเบิดต่างๆ ไม่ให้ถูกจับกุม เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2553 หลังจับกุมตำรวจได้นำผู้ต้องหาทั้งหมดไปพลัดฟ้องฝากขังต่อศาล ต่อมาศาลได้อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว แต่เมื่อถึงวันนัดรายงานตัว นายมงคลกลับไม่มารายงานตัวศาลจึงออกหมายจับไว้
     
       สอบสวนผู้ต้องหารับว่า หลบหนีไปอยู่ที่ จ.เชียงใหม่ และไม่สามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้ ต้องอยู่ไปวันๆ จึงเปลี่ยนใจยอมเข้ามอบตัว
     
       ทั้งนี้ นายมงคลยังเล่าถึงช่วงที่ถูกควบคุมตัวอยู่ในห้องขังกองปราบปรามว่า นอนอยู่ในห้องขังเพียงคนเดียว ช่วงที่หลับไปก็รู้สึกว่าเหมือนมีคนมาดึงขา เมื่อลืมตาดูก็ตกใจเพราะเห็นผู้ชายคนหนึ่งใส่กางเกงสีแดง ไม่สวมเสื้อ กำลังดึงขาตนอยู่ จึงตะโกนร้องเรียกให้ตำรวจมาช่วย หลังจากนั้นก็เหมือนจะไม่มีอะไรแล้วจึงพยายามข่มตาหลับ แต่เมื่อหลับไปได้สักพักก็ถูกดึงขาอีก เป็นเช่นนี้อยู่หลายครั้งจึงขอร้องตำรวจมานั่งเป็นเพื่อนจนถึงเช้า
     
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากคดีดังกล่าวแล้ว นายมงคลยังเคยตกเป็น 1 ใน 3 ผู้ต้องสงสัยเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดหลายคดีในช่วงการชุมนุมของกลุ่ม นปช. และมีหมายจับตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ด้วยแต่หลังจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วหมายจับดังกล่าวจึงถูกยกเลิกตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ได้มอบหมายให้ พล.ต.ต.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบช.ก.พร้อมพนักงานสอบสวนเข้าสอบปากคำนายมงคล กรณีตกเป็นผู้ต้องสงสัยเกี่ยวกับเหตุระเบิดดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว

วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2554

"บก.น.2"แชมป์รถหาย!"รถยนต์โตโยต้า-จยย.ฮอนด้า"ยี่ห้อฮิตโจร

"บก.น.2"แชมป์รถหาย!"รถยนต์โตโยต้า-จยย.ฮอนด้า"ยี่ห้อฮิตโจร
โดย ทีมข่าวอาชญากรรม 21 มีนาคม 2554 00:05 น.

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
รถยนต์ที่ถูกเจ้าหน้าที่ ศปจร.น.ตรวจยึดมาได้

"นครบาล"เผยสถิติรถหายในรอบปี"บก .น.2"ครองแชมป์พื้นที่รถถูกโจรกรรม พบ"จยย."หาย 5,504 คัน"กระบะ"409 คันและ"เก๋ง"300 คัน"รถยนต์โตโยต้า-จยย.ฮอนด้า"ยี่ห้อฮิตโจร ส่วนถนนตรอกซอกซอยช่วง2ทุ่มถึงเที่ยงคืนเสี่ยงถูกขโมยมากที่สุด
      
       วันนี้ (20 มี.ค.) ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ต.สุเมธ เรืองสวัสดิ์ รอง ผบช.น.และในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามการโจรกรรมรถกองบัญชาการตำรวจ นครบาล (หน.ศปจร.น.) เปิดเผยสถิติการโจรกรรมรถยนต์และรถจักรยานยนต์ในพื้นที่รับผิดชอบของกอง บัญชาการตำรวจนครบาลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553 -31 ธันวาคม 2553 หลังจากช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ตำรวจมีการเร่งรัดปราบปรามแก๊งลักรถเหล่านี้ให้ลดน้อยลงตลอด รวมถึงติดตามความเคลื่อนไหวต่างๆ เพราะถือเป็นอาชญากรรมที่กลุ่มโจรมักอาศัยความประมาทของประชาชนที่จอดรถใน ที่เปลี่ยวปลอดคน กลายเป็นช่องโหว่ให้ผู้ร้ายฉวยโอกาสโจรกรรมรถอย่างง่ายดาย
      
       พล.ต.ต.สุเมธ กล่าวว่า จากการรวบรวมสถิติรถหายและสามารถจับกุมได้คืนของบก.น.1-9 ในปี 2553 ที่ผ่าน มีดังนี้ อันดับที่ 1 บก.น.2 รถยนต์หาย 66 คัน จับกุมได้คืน 1 คัน หรือ 1.5 เปอร์เซ็นต์ รถปิคอัพหาย 87 คัน สามารถจับกุมคืนได้ 3 คัน หรือ 3.4 เปอร์เซ็นต์ รถตู้ไม่มีการก่อเหตุโจรกรรม และรถจักรยานยนต์หาย 963 คัน สามารถจับกุมคืนได้ 57 คัน หรือ 5.9 เปอร์เซ็นต์
      
       อันดับที่ 2 บก.น.4 รถยนต์หาย 64 คัน จับกุมได้คืน 8 คัน หรือ 12.5 เปอร์เซ็นต์ รถปิคอัพหาย 73 คัน สามารถจับกุมคืนได้ 4 คัน หรือ 5.5 เปอร์เซ็นต์ รถตู้หาย 3 คัน ไม่สามารถจับกุมคืนได้ และรถจักรยานยนต์หาย 810 คัน สามารถจับกุมคืนได้ 45 คัน หรือ 5.6 เปอร์เซ็นต์
      
       และอันดับที่ 3 บก.น.5 รถยนต์หาย 46 คัน จับกุมได้คืน 4 คัน หรือ 8.7 เปอร์เซ็นต์ รถปิคอัพหาย 38 คัน ไม่สามารถจับกุมคืนได้ รถตู้หาย 1 คัน ไม่สามารถจับกุมคืนได้ และรถจักรยานยนต์หาย 865 คัน สามารถจับกุมคืนได้ 45 คัน หรือ 5.2 เปอร์เซ็นต์
      
       โดยรวมรถยนต์หาย 300 คัน จับกุมได้คืน 26 คัน หรือ 8.7เปอร์เซ็นต์ รวมรถปิคอัพหาย 409 คัน จับกุมได้คืน 13 คัน หรือ 3.2 เปอร์เซ็นต์ รวมรถตู้หาย 9 คัน ไม่สามารถจับกุมคืนได้ และรวมรถจักรยานยนต์หาย 5,504 คัน จับกุมคืนได้ 335 คัน หรือ 6.1 เปอร์เซ็นต์
      
       รอง ผบช.น.กล่าวต่ออีกว่า สำหรับรถยนต์ที่ถูกโจรกรรมในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร มีจำนวน 709 คัน ได้คืน 39 คัน โดยจำแนกตามยี่ห้อดังนี้ อันดับที่ 1 ยี่ห้อโตโยต้า จำนวน 228 คัน คิดเป็นร้อยละ 31.8 อันดับที่ 2 ยี่ห้ออีซูซุ จำนวน 210 คัน คิดเป็นร้อยละ 29.2 และอันดับที่ 3 ยี่ห้อนิสสัน จำนวน 84 คัน คิดเป็นร้อยละ 11.7 ส่วนช่วงเวลาที่รถยนต์ถูกโจรกรรม อันดับที่ 1 ตั้งแต่เวลา 20.01-24.00 น. จำนวน 196 คัน คิดเป็นร้อยละ 27.3 อันดับที่ 2 ตั้งแต่เวลา 16.01-20.00 น. จำนวน 169 คัน คิดเป็นร้อยละ 23.5 และอันดับที่ 3 ตั้งแต่เวลา 00.01-04.00 น. จำนวน 166 คัน คิดเป็นร้อยละ 23.1 และสถานที่ที่มักถูกโจรกรรมรถยนต์ อันดับที่ 1 ตามถนนและตรอกซอย จำนวน 320 คัน คิดเป็นร้อยละ 44.6 อันดับที่ 2 สวนสาธารณะ เช่น สนามกีฬา สวนหย่อม ท่าน้ำ ชุมชนต่างๆ จำนวน 217 คัน คิดเป็นร้อยละ 30.2 และอันดับที่ 3 ตามเคหสถาน บ้านเช่า ห้องเช่า จำนวน 120 คัน คิดเป็นร้อยละ 16.7
      
       พล.ต.ต.สุเมธ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ในส่วนของรถจักรยานยนต์ที่ถูกโจรกรรมในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร มีจำนวน 5,504 คัน ได้คืน 335 คัน โดยจำแนกตามยี่ห้อดังนี้ อันดับที่ 1 ฮอนด้า จำนวน 3,033 คัน คิดเป็นร้อยละ 55.1 อันดับที่ 2 ยี่ห้อยามาฮ่า จำนวน 2,052 คัน คิดเป็นร้อยละ 37.3 และอันดับที่ 3 คาวาซากิ จำนวน 131 คัน คิดเป็นร้อยละ 2.4
      
       “ส่วนช่วงเวลาที่รถจักรยานยนต์ถูกโจรกรรม อันดับที่ 1 ตั้งแต่เวลา 20.01-24.00 น. จำนวน 1,516 คัน คิดเป็นร้อยละ 27.5 อันดับที่ 2 ตั้งแต่เวลา 00.01-04.00 น. จำนวน 1,292 คัน คิดเป็นร้อยละ 23.5 และอันดับที่ 3 ตั้งแต่เวลา 16.01-20.00 น. จำนวน 1,290 คัน คิดเป็นร้อยละ 23.4 และสถานที่ที่มักถูกโจรกรรมรถจักรยานยนต์ อันดับที่ 1 ตามถนนและตรอกซอย จำนวน 2,518 คัน คิดเป็นร้อยละ 45.7 อันดับที่ 2 สวนสาธารณะ เช่น สนามกีฬา สวนหย่อม ท่าน้ำ ชุมชนต่างๆ จำนวน 1,630 คัน คิดเป็นร้อยละ 29.6 และอันดับที่ 3 ตามเคหสถาน บ้านเช่า ห้องเช่า จำนวน 1,062 คัน คิดเป็นร้อยละ 19.3” หน.ศปจร.น.กล่าว

วันเสาร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2554

Selecting a location for your site

Selecting a location for your site

ตร.โคราชรวบ “พระโหด” ฆ่าชิงทรัพย์หลายคดี


พล.ต.ท.เดชาวัต รามสมภพ ผบช.ภ.3 แถลงข่าว ตร.สภ.มะเริง โคราช รวบ นายเสวก บุญช่วย อายุ 58 ปี พระโหดฆ่าชิงทรัพย์หลายคดี
       ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - ตร.โคราชรวบ “พระโหด” ฆ่าชิงทรัพย์หลายคดี ล่าสุดออกอุบายสะเดาะเคราะห์ให้เหยื่อก่อนคว้าท่อนเหล็กทุบหัวและใช้มีดฟัน หน้า 2 แม่ลูกฉกทองคำ 2 บาทพร้อมพระเลี่ยมทองไปปรนเปรอแฟนนักร้องสาวที่ อ.สูงเนิน ก่อนถูกรวบ สารภาพเป็นคนลงมือจริงและคิดว่าเหยื่อเสียชีวิตจึงทำพิธีสะกดวิญญาณไว้ พร้อมรับเคยก่อเหตุฆ่าเพื่อนบ้านชิงเงิน 100 บาท เหตุแค้นไม่ให้ยืมเงิน
      
       วานนี้( 17 มี.ค.) ที่ห้องประชุม 1ชั้น 2 กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 อ.เมือง จ.นครราชสีมา พล.ต.ท.เดชาวัต รามสมภพ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 (ผบช.ภ.3) พร้อม พ.ต.อ.วชิรวิชญ์ กฤษณ์ฤทธิศักย์ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด (รองผบก.ภ.จว.)นครราชสีมา และ พ.ต.ท. สรวิศ เพ็ชรคำ สารวัตรใหญ่สภ.มะเริง ร่วมกันแถลงผลการจับกุมคดีฆ่าชิงทรัพย์ในพื้นที่ สภ.มะเริง อ.เมืองนครราชสีมา ได้ผู้ต้องหา 1 ราย คือ นายเสวก บุญช่วย อายุ 58 ปี อยู่บ้านเลขที่ 10 ม.6 ต.พะเนา อ.เมือง จ.นครราชสีมา อดีตพระลูกวัดโพธิ์ลอย ต.งิ้วลาย อ.เมือง จ.นครราชสีมา
      
       พร้อมของกลาง สร้อยคอทองคำ น้ำหนัก 2 บาท 1 เส้น , พระสมเด็จปากน้ำเลี่ยมทอง 1 องค์ , ท่อนเหล็กชนิดสี่เหลี่ยม ความยาว 50 เซนติเมตร (ซม.) 1 ท่อน , มีดตะขอ 1 เล่ม และ จีวรพระ 1 ชุด โดยขณะแถลงข่าวได้มีญาติผู้เสียหายและผู้ตายเดินทางมาดูหน้า นายเสวก และตะโกนด่าทอด้วยความโกรธแค้นอยู่ตลอดเวลา
      
       ทั้งนี้ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 15 มี.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ ตำรวจ สภ.มะเริง อ.เมือง จ.นครราชสีมา ได้รับแจ้งมีเหตุชิงทรัพย์และทำร้ายร่างกาย ที่บ้านเลขที่ 138 ม. 3 ต.พะเนา อ.เมือง จ.นครราชสีมา ในที่เกิดเหตุพบ นางทองดี ภักดี อายุ 80 ปี และ นางมาลัย ธรรมไทย อายุ 55 ปี 2 แม่ลูกเจ้าของบ้านหลังดังกล่าว ถูกทำร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส
      
       ตรวจสอบพบว่า สร้อยคอทองคำน้ำหนัก 2 บาท พร้อมพระเลี่ยมทอง 1 องค์หายไป เจ้าหน้าที่จึงทำการสอบสวนพยานแวดล้อม จนทราบว่า ผู้ก่อเหตุคือ นายเสวก บุญช่วย อายุ 58 ปี อยู่บ้านเลขที่ 10 ม. 6 ต.พะเนา อ.เมือง จ.นครราชสีมา ซึ่งระหว่างก่อเหตุ นายเสวก บวชเป็นพระอยู่ที่วัดโพธิ์ลอย ต.งิ้วลาย อ.เมือง จ.ลพบุรี ได้เดินทางมารับซองผ้าป่าที่วัดบ้านมะเริงน้อย ต.พะเนา แต่ได้แวะไปที่บ้านของผู้เสียหายทั้ง 2 คน ซึ่งเป็นคนรู้จักสนิทสนมกัน
      
       เมื่อเห็นนางมาลัย สวมใส่สร้อยคอทองคำด้วยความอยากได้ จึงออกอุบายทำพิธีสะเดาะเคราะห์ให้ ประกอบกับ นางมาลัย นอนป่วยอยู่จึงหลงเชื่อ ในระหว่างทำพิธีจึงได้ลงมือทำร้ายและชิงทรัพย์โดยใช้ท่อนเหล็กทุบศีรษะ ของนางทองดี มารดา และใช้มีดตะขอฟันเข้าที่หน้าผากของนางมาลัย ลูกสาว แล้วทำพิธีสะกดวิญญาณ ก่อนหลบหนีไปหาแฟนสาวที่เป็นนักร้องอายุประมาณ 38 ปี อยู่ร้านอาหารแห่งหนึ่งใน อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา เพื่อนำทรัพย์สินดังกล่าวไปมอบให้ และทำการสึกจากพระด้วยตัวเองที่บริเวณหลังตลาด อ.สูงเนิน จากนั้นได้กบดานอยู่กับแฟนสาว ก่อนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวได้ในที่สุด
      
       จากการสอบสวน นายเสวก ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า เป็นผู้ลงมือก่อเหตุดังกล่าวจริงเนื่องจากแฟนนักร้องสาวที่คบหากันมาประมาณ 3 เดือน บอกว่าไม่มีเงินมาให้ก็ไม่ต้องแวะมาหา ตนจึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อหาเงินและทรัพย์สินมาให้แฟนสาวจึงลงมือก่อเหตุ ดังกล่าวขึ้น โดยหลังก่อเหตุคิดว่า นางทองดี และ นางมาลัย เสียชีวิตแล้วจึงทำพิธีสะกดจิตไม่ให้ดวงวิญญาณตามมาหลอกหลอน แต่มาทราบภายหลังว่ายังไม่เสียชีวิต
      
       นอกจากนี้ นายเสวก ยังรับสารภาพด้วยว่า ช่วงต้นเดือนก.พ. ที่ผ่านมา ได้ก่อเหตุใช้อาวุธไม้ตี นายเปลี่ยน มาพะเนา อายุ 75 ปี เพื่อนบ้านถึงแก่ความตาย ในพื้นที่หมู่บ้านพะเนา โดยได้ชิงทรัพย์เป็นเงินสดไปจำนวน 100 บาท เนื่องจากโกรธแค้นที่ผู้ตายไม่ให้ยืมเงินจำนวน 5,000 บาท จากนั้นได้หลบหนีไปบวชที่ จ.ลพบุรี จำนวน 15 วัน เพื่อแก้บนให้กับมารดาที่นอนป่วยอยู่ ก่อนมาก่อเหตุทำร้ายร่างกายและถูกจับได้ที่สุด

วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2554

บทความตอนที่ 2. คำตอบว่า ปัญหารัฐบาลที่ทุจริต โกงกิน ขายชาติ ที่จะมีใครมาแก้ไข...นี่จะเป็นคำตอบหรือคำตอบที่ไม่มีทางเลือก

บทความ ปัญหาของชาติ ตอน คำตอบ...
โดย theerapun intra เมื่อ 23 มีนาคม 2011 เวลา 5:15 น.
คำตอบว่า
1. การปฎิรูปใช้อำนาจร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการทุกหมู่เหล่า ทหาร ตำรวจ และ ประชาชน ขับไล่นักการเมือง 500 ไม่ให้เล่นการเมือง แล้วคืนอำนาจให้สถาบัน
ดำเนินการให้คนรุ่นใหม่เข้ามาแก้ไขปัญหาของชาติโดยสันติวิธี
2. แต่งตั้งนายกรักษาการ ตั้งรัฐบาลแห่งชาติ แก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญ ตามระบบที่เรียกว่า ราชประชาสมาศรัย นั่นเอง
3. ออกกฎหมายอภัยโทษ ให้กับนักการเมือง ข้าราชการ ประชาชน ทุกกลุ่มที่มีคดีความจากการขัดแย้งทางการเมือง เพื่อเยียวยาการแตกความสามัคคีของคนในชาติและเป็นการนับหนึ่งให้ประเทศชาติ
ขั้นตอนสุดท้าย
การแก้กฎหมายรัฐธรรมนูญ เพื่อพักและล้างระบบทุนนิยม ระบบอุปถัมป์และวงจรอุบาทว์การลากตั้งซื้อเสียง
1. ผู้ใดเป็นส.ส.มาก่อนไม่ว่า สมัยใด ห้ามเล่นการเมืองทุกระดับเป็นเวลา = 5 ปี ปัญหานี้ไม่ต้องกลัวจะไม่มีคนมาสมัครลงรับการเลือกตั้ง
คนมีความรู้และมีความสามารถในประเทศไทยของเรา มีเต็มบ้านเต็มเมือง
2. คดีทุจริต ส.ส.และข้าราชการระดับกระทรวงขึ้นไป คดีไม่มีอายุความ
3. การทุจริต ไม่ว่า รัฐมนตรีหรือข้าราชการ ประชาชนที่มีหน้าที่ตามมาตรา 70,71 ของรัฐธรรมนูญ ทางที่หนึ่ง ประชาชนสามารถเป็นโจทก์ได้ทุกคน ร้องทุกข์กล่าวโทษ แจ้งความดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ด้วยตนเองทุกท้องที่ ทางที่สอง ให้ยื่นคำร้องต่อศาลอาญา ฟ้องศาลได้ทุกจังหวัด หากเป็นการกลั่นแกล้งจำเลยก็ฟ้องกลับได้ ส่วนรูปคดีนั้นจะมีหลักฐานหรือมีมูล ก็ให้ศาลเป็นผู้วินิจฉัยคำฟ้องเอง
เวลานักการเมืองเป็นรัฐบาลก็มิได้ใช้กฎหมายปกครองแค่จังหวัดของตน แต่ประกาศใช้ทั่วราชอณาจักรไทย ตรงนี้เรียกว่ากฎหมายเป็นธรรม ทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายของนิติรัฐ หนึ่งชีวิตมีค่าเท่ากันตามรัฐธรรมนูญ เวลาทำผิดใครฟ้อง จำเลยก็ต้องไปขึ้นศาลสู้คดีเหมือนคดีทั่วไป.
4. ทุกคนมีกฎหมายรับรองเป็น กกต.ภาคประชาชน ใครจับโกงการเลือกตั้งได้ มีพยานหลักฐาน ก็สามารถฟ้องเองได้ต่อศาลของจังหวัดนั้น
5. ผู้กระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ผู้ลงรับสมัครเลือกตั้งหรือตัวแทนไปซื้อเสียง มีโทษทางอาญา จำคุกไม่เกิน 10 ปี ทางแพ่งปรับไม่เกิน 100 ล้านบาท หมดคุณสมบัติเล่นการเมืองทุกระดับตลอดชีพ ส่วนผู้ขายสิทธิก็มีโทษเหมือนผู้ซื้อเช่นเดียวกัน
6. ให้เพิ่มหรือแก้ไขกฎหมายลูกอื่นๆ ให้สอดคล้องกับกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่จะประกาศใช้ต่อไป.
7. คืนอำนาจให้ประชาชน ประกาศกฎหมายให้มีการเลือกตั้ง.....

ตามบทความนี้ เป็นเพียงข้อคิดตามหลักนิติธรรมที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของกฎหมายเท่านั้น
ประเทศของเรามีการปกครองระบอบประชาธิปไตร อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข
ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์จงคุ้มครองประชาชน ข้าราชการทุกหมู่เหล่า ทุกคนทั่วประเทศ ที่มีความรัก ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
รักความเป็นธรรม มีอุดมการณ์มีจุดยืนในสิ่งที่ถูกต้อง ได้นำแสงสว่างและความเจริญมาสู่ประเทศเสียที เมื่อเวลานักการเมืองที่ไม่ดีจะออกกฎหมายมาเพื่อตัวเอง ยังอ้างถึงกฎหมายของประเทศที่เจริญแล้วมาประกอบ มาถึงตรงนี้ประชาชนทั่วประเทศจะขอบอกกับนักการเมืองว่า ประเทศที่เขาเจริญนั้นเพราะ เขามีกฎหมายที่เป็นธรรม มีบทลงโทษนักการเมืองที่กระทำความผิดรุนแรงและเข้มแข็งไม่มีสองมาตราฐานหรือนักการเมืองทั้งหลายว่าไม่จริง.........ประชาชนขอแค่นี้หรือว่า นักการเมือง500 จะให้เม็ดคะแนนที่เรียกว่า รากหญ้า เขานั่งดูทีวีรายการละครน้ำเน่าต่อไป............จนกว่าจะสิ้นใจ...

บทความตอนที่ 1. คำถามว่า ปัญหารัฐบาลที่ทุจริต โกงกิน ขายชาติ เวลานี้จะหาใครมาแก้ปัญหาของชาติได้...ทางออกต้องใช้กำลัง แล้วแก้กฎหมาย และนิรโทษกรรม น่าจะเป็นทางออกหรือไม่...



     ก่อนอื่นขอลำดับปมปัญหาที่เป็นสาเหตุของชาติ มาแต่ละประเด็นเพื่อมองเห็นในภาพรวมก่อน
1. ใครบอกว่า อาชีพนักการเมืองปัจจุบันมีต้นทุน ต้องใช้เงินซื้อเสียง เลือกตั้งครั้งหนึ่งแต่ละคนใช้เงิน 50-60 ล้านบาท
คำตอบ มันก็ถูกครับ
2. ใครบอกว่า นายทุนของพรรค ใช้เงินซื้อตัวนักเลือกตั้ง  จำนวนมากเป็นคอกๆ เพื่อให้ได้ส.ส.มากพอที่จะเข้ามาเป็นรัฐบาลอีก เรียกว่า ส.ส.ขายตัวตั้งแต่วันสมัคร!!
คำตอบ มันก็ถูกครับ
3. ใครบอกว่า ตอนหาเสียง หัวหน้าพรรคใด สร้างภาพ โฆษณา เขียนหนังสือ ใช้เงินงบประมาณซื้อประชานิยม ชอบพูดหาเสียงในสิ่งที่พูดไปแล้วทำไม่ได้ จนสามารถโกหกให้
เม็ดคะแนนที่เราเรียกว่า รากหญ้า หลงเชื่อ ศรัทธา พร้อมใช้โครงสร้างเจ้าพ่อส.ส.ตัวจริง ไปบีบข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ผู้ว่า นายอำเภอ ปลัด สจ. สท. อบต. กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หัวคะแนนและผู้กว้างขวางระดับท้องถิ่น ถ้าเป็นราชการ ก็จะต้องมีตำแหน่งและความก้าวหน้าในอาชีพราชการเป็นเดิมพันให้ช่วยโกงเลือกตั้ง ส่วน สจ. สท. อบต. กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หัวคะแนนและผู้กว้างขวางระดับท้องถิ่น นั้นมีทางเลือกอย่างเดียวมีความตายเป็นเดิมพัน ถ้าไม่อยากตายหรืออยู่อย่างเป็นศัตรู ก็ต้องยอมออกมาเป็นกลไกทุกรูปแบบ เพื่อนำเงินของนักเลือกตั้งไปซื้อเสียงกับเม็ดคะแนนและหัวคะแนนระดับต่างๆ ก็รับเศษเงินหลักหมื่น หลักแสนไป...
คำตอบ มันก็ถูกครับ
4. ผู้มีสิทธิออกเสียงไปลงคะแนนเลือกตั้ง ในประเทศไทยปัจจุบัน พวกเม็ดคะแนนที่เรียกว่า รากหญ้า นั้นมีประมาณ 70 % ส่วนประชาชนที่เป็นผู้ตื่นรู้ ปัญญาชน คนชั้นกลาง มีประมาณ 30 % เท่านั้น พวกที่ต่อสู้เพื่อชาติก็ไม่สามารถห้ามนักเลือกตั้งที่มีต้นทุน ใช้เงินซื้อเสียงชนะการเลือกตั้ง มาเป็นรัฐบาลปกครองบ้านเมืองได้ สรุป เลือกตั้งกี่ครั้งพวกนักลากตั้งนี้มันก็เข้ามาได้อีกทุกครั้งไป...
คำตอบ มันก็ถูกครับ
5. ใครบอกว่า ทุกรัฐบาลจะบริหารชาติแบบ มอมเมาประชาชนพวกเม็ดคะแนน ด้วยทีวีทุกช่องของรัฐบาลมีแต่บันเทิง ละคร เกมส์โชว์ เรื่องการเมืองเรื่องส.ส.ทุจริต โกงชาติ ขายชาติ
ไม่มีใครกล้าทำสกรูปข่าวเสนอความจริงเลย!! สื่อหนังสือพิมพ์หัวสีต่างๆ ก็รับใช้ระบบทุน เขียนข่าวเล่นตามประเด็นที่นักการเมืองตั้งโจทย์ ไม่เคยบอกความจริงกับประชาชน เพราะกลัวไม่ได้เงินค่าโฆษณาของนักการเมือง รัฐบาลก็ออกข่าวพูดความจริงแค่ครึ่งเดียว จนรากหญ้าบอกว่า ตูไม่รู้เรื่องการเมือง ไม่กล้าพูดอะไรมาก กลัวคนมีอำนาจ ความรู้ก็น้อย ไม่มีอำนาจอะไรคุ้มหัว แถมยากจนและยังมีแต่หนี้สิน แค่จะทำมาหากินไปวันๆ ยังเอาตัวไม่รอด หาเช้ากินค่ำ ทำงานใช้แรงงานมาก็เหนื่อยแล้ว พอตกเย็นกินข้าว ดูทีวีน้ำเน่าเพื่อผ่อนคลาย แล้วดื่มเหล้านิดหน่อย จะได้ไม่ฟุ้งซ่านเรื่องเศรฐิกจข้าวของแพง แล้วก็เข้านอน
แถมพูดจาแบบน่ารักว่า บ้านเมืองเวลานั่งดูข่าวทีวีไม่เห็นมีอะไรเลย มีแต่พวกประท้วงที่ทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย เพราะตัวเองไม่มีปัญญาที่จะเข้าถึงสื่อที่นำความจริง แถมยังบอกว่า รู้แล้วได้อะไร จริงๆรากหญ้าไม่รู้หรอกแต่พูดไปอย่างนั้นเอง พูดต่อว่า สู้เอาเวลาไปทำมาหากินดีกว่า แม้การต่อสู้ของนักการเมืองภาคประชาชนในกรุงเทพฯ จะถูกรัฐบาลใช้อำนาจปราบปราอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นสมัยใด รากหญ้าก็ยังถูกปิดหูปิดตาเหมือนเดิม แม้จะรู้บ้างเล็กน้อยภายหลัง รากหญ้าก็ไม่เข้าใจและสับสนเพราะ รัฐบาลได้แก้ข่าวและให้ข้อมูลไม่ตรงกับความจริงแล้ว มีแต่ความดีเข้าตัว
คำตอบ มันก็ถูกครับ
6. ใครบอกว่า ปัจจุบันการเมืองภาคประชาชนที่ออกมาขับไล่รัฐบาล ทุจริต ออกไปได้ แต่ก็ได้ นักการเมือง ทุจริตอีกกลุ่มเข้ามา เหมือนเตะหมูเข้าปากสุนัข อย่างนี้คนดีๆที่มีความรู้ ออกมาปกป้องผลประโยชน์ชาติตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ จะสู้กันอีกกี่ครั้ง กี่รุ่น ประเทศไทยจึงจะเจริญ.
คำตอบ มันก็ถูกครับ
7. ใครบอกว่า แม้ทุกคนในประเทศไทย มีองค์ความรู้ทางการเมืองเท่ากันหมดทุกคน ก็ไม่สามารถทำให้ชาติเจริญได้ เพราะ เมื่อประกาศให้มีการเลือกตั้ง ที่มีวาทกรรมไพเราะว่า คืนอำนาจให้ประชาชนนั้น แต่ผู้สมัครลงรับเลือกตั้งไม่มีคนดีมาลงสมัครเลย คำถาม แล้วจะเลือกใคร.???
คำตอบ มันก็ถูกครับ
8. ใครบอกว่า สัจธรรมของมนุษย์ ที่มีเกรียรติ มีความรู้ มีอำนาจ ที่สร้างมาด้วยตนเองส่วนหนึ่ง แล้วได้เสพใกล้ชิดการบริหารเงินงบประมาณของชาติ การใช้เงินของชาติระดับ แสนล้าน,ล้านล้านบาท อยากได้อะไรก็ได้ มีอำนาจล้นฟ้า มีเงินมหาศาล เมื่ออายุมากขึ้น มีกิเลสหนาไม่รักชาติ ย่อมติดกับการเสพอำนาจและหลงตนเอง คิดว่า ในช่วงชีวิตบั้นปลายไม่ว่า จะทำถูกหรือทำผิดไม่ต้องไปสน เป็นใครๆก็ทำ เพียงแต่ให้กลับมามีอำนาจเหมือนเดิม ดั่งนักการเมืองทุจริตด้วยกันชอบพดูดว่า สมบัติผลัดกันชม ไม่เห็นหัวประชาชน.
คำตอบ มันก็ถูกครับ
                                มาถึงตรงนี้ว่า ปัญหาของประเทศชาติน่าจะจอทางตัน ก็จะเป็นหน้าที่ของประชาชนผู้รักชาติ ต้องช่วยกันแก้ไขปัญหา
บ้านเมืองร่วมกัน ขอให้ท่านลองอ่านคำตอบตอนที่สองครับ...

วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2554

โคราชรวบ “เมีย ตร.” แสบตระเวนหลอกซื้อเชิดรถเต็นท์มือ 2 อื้อ 17 คดี-ผัวอีก 5 คดี

โคราชรวบ “เมีย ตร.” แสบตระเวนหลอกซื้อเชิดรถเต็นท์มือ 2 อื้อ 17 คดี-ผัวอีก 5 คดี
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 18 มีนาคม 2554 11:53 น.


ตร.โคราชรวบเมียตำรวจ แสบ ตระเวนหลอกซื้อยักยอกรถยนต์จากเต็นท์รถมือ 2 ในพื้นที่ตร.ภาค 3 -ภาค 4 เปลี่ยนชื่อ-สกุลมาแล้ว7 ครั้ง ก่อเหตุอื้อ 17 คดี สามีเป็นผบ.หมู่ สภ.เกษตรวิสัยจ.ร้อยเอ็ดแสบพอกัน วันนี้ (18 มี.ค.)
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น

นางเนตรนันทินี หรือ นก คเณศร์อดิศา ผู้ต้องหาเมียตำรวจแสบ


ด.ต.สมจิตร อินทร์โท่โล่ แสบพอกันก่อเหตุ 5 คดี

ศูนย์ข่าวนครราชสีมา- ตำรวจ โคราชรวบเมียตำรวจแสบ ตระเวนหลอกซื้อยักยอกรถยนต์จากเต็นท์รถมือ 2 ในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 3 และภาค 4 เผยเปลี่ยนชื่อ-นามสกุลมาแล้วรวม 7 ครั้ง มีคดีติดตัวอื้อ 17 คดี สอบพบสามีเป็น ผบ.หมู่ สภ.เกษตรวิสัย จ.ร้อยเอ็ด แสบพอกันก่อเหตุลักษณะเดียวกันไม่น้อยกว่า 5 คดี แต่ปัจจุบันยังรับราชการตำรวจเฉย
    
       วันนี้ (18 มี.ค.) ที่ห้องสอบสวนชั้น 1 สภ.เมืองนครราชสีมา อ.เมือง จ.นครราชสีมา พ.ต.อ.ภาณุ บุรณศิริ รองผู้บังคับการศูนย์สืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 3 (รองผบก.สส.ภ.3) และ พ.ต.อ.ผดุงเกียรติ ศิริพรวิวัฒน์ ผู้กำกับการ(ผกก.) สภ.เมืองนครราชสีมา ร่วมกันสอบปากคำ นางเนตรนันทินี หรือ นก คเณศร์อดิศา หรือ นางชลธิชา อดทน อายุ 32 ปี อยู่บ้านเลขที่ 20 หมู่ 10 ต.ดงลาน อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด ผู้ต้องหาคดียักยอกทรัพย์ผู้อื่น ตามหมายจับศาลแขวงนครราชสีมา ลงวันที่ 15 มี.ค. 2554 เหตุเกิดในพื้นที่ สภ.โพธิ์กลาง อ.เมือง จ.นครราชสีมา
    
       ทั้งนี้ สืบเนื่องจากตำรวจภูธรภาค 3 ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนและผู้ประกอบการเต็นท์รถยนต์มือสอง ว่า มีแก๊งโจรกรรมรถหลอกลวงเอารถยนต์ไป โดยใช้หลากหลายวิธี เช่น ปลอมเอกสารเช่าซื้อรถ จ้างคนมาดาวน์รถ, รับจำนำ หรือ เช่าซื้อรถ แล้วนำไปจำหน่ายในราคาถูก เจ้าหน้าที่จึงทำการสืบสวนจนทราบว่า นางเนตรนันทินี หรือ นก ซึ่งเปลี่ยนชื่อ-นามสกุลมาแล้ว 7 ครั้ง มีพฤติกรรมรับจำนำรถและใช้หลักฐานของตนเองและของผู้อื่น หลอกเช่าซื้อรถยนต์จำนวนมาก และนำรถยนต์ไปจำหน่าย เจ้าของรถไม่สามารถไถ่ถอนคืนได้ และเจ้าของเต็นท์รถเช่าไม่ได้รับการชำระหนี้ค่าเช่าซื้อรถยนต์ ถูกดำเนินคดีทั้งในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 3 และตำรวจภูธรภาค 4 รวม 17 คดี
    
       จากการสอบสวนทราบว่า นางเนตรนันทินี ผู้ต้องหาหลบหนีอยู่ในเขต อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด เจ้าหน้าที่จึงได้ติดตามจับกุมได้ที่หน้าสำนักงานอัยการจังหวัดร้อยเอ็ด โดยผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า ได้ประกอบกิจการเกี่ยวกับการค้ารถยนต์จริง ได้เช่าซื้อรถยนต์มาจากเต็นท์รถมือสองจำนวนมาก แต่ติดปัญหาการผ่อนชำระ จึงไม่ได้ผ่อนชำระและไม่สามารถติดตามรถยนต์คืนเจ้าของได้ เนื่องจากได้จำหน่ายไปหมดแล้ว โดยที่ผ่านมา ได้กระทำผิดในเขต จ.ร้อยเอ็ดจำนวน 10 คดี ซึ่งเมื่อเรื่องขึ้นสู่ศาลได้ทำการไกล่เกลี่ยโดยตนยินยอมที่จะผ่อนชำระเงิน คืนให้กับผู้เสียหายเป็นงวด ๆ
    
       นอกจากนี้ ยังมีคดีลักษณะเดียวกันอีกที่ จ.กาฬสินธุ์จำนวน 4 คดี, จ.มหาสารคาม 2 คดี และจ.นครราชสีมาจำนวน 1 คดี โดยคดีที่ จ.นครราชสีมา นางเนตรนันทินี ได้ใช้เอกสารปลอมในการหลอกเช่าซื้อรถยนต์ที่เต็นท์รถมือสอง ของนางวริศฐา บุญจึงเจริญรัตน์ เจ้าของเต็นท์รถ “วริศฐายานยนต์” ตั้งอยู่ในท้องที่ สภ.โพธิ์กลาง และ ไม่ผ่อนชำระ ผู้เสียหายจึงได้แจ้งความดำเนินคดีไว้และเจ้าหน้าที่ตามจับตัวมาได้ดังกล่าว
    
       ด้าน พ.ต.อ.ภาณุ กล่าวว่า จากการสอบประวัตินางเนตรนันทินี พบว่า เป็นภรรยาของ ดาบตำรวจสมจิตร อินทร์โท่โล่ ผบ.หมู่ สภ.เกษตรวิสัย จ.ร้อยเอ็ด ซึ่ง ดาบตำรวจสมจิตร มีคดียักยอกทรัพย์ติดตัวอยู่ถึง 5 คดี แต่ทำไมถึงยังคงรับราชการตำรวจอยู่ เรื่องนี้จะต้องมีการสอบสวนเพิ่มเติมต่อไป
    
       อย่างไรก็ตาม หากประชาชนหรือผู้ประกอบกิจการเต็นท์รถที่ใด ได้รับความเสียหายจากนางเนตรนันทินี หรือ นก คเณศร์อดิศา หรือ นางเนตรนันทินี เขียววงศ์ หรือ นางเพ็ญศรี เขียววงศ์ หรือ นางพุทธภาวดี เขียววงศ์ หรือ นางชลธิชา เขียววงศ์ หรือ นางเพ็ญศรี อดทน หรือ นางชลธิชา อดทน ซึ่งเป็นบุคคลคน ๆ เดียวกัน สามารสอบถามข้อมูลได้ที่ สภ.โพธิ์กลาง อ.เมือง จ.นครราชสีมา

ลิ้มลองของดี“บะหมี่แสบคูณสอง” บะหมี่รสเด็ด-ขาหมูโอวัลติน

ลิ้มลองของดี“บะหมี่แสบคูณสอง” บะหมี่รสเด็ด-ขาหมูโอวัลติน แผนที่ภาพข่าว
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 13 มีนาคม 2554 13:02 น.

บรรยากาศภายในร้าน
       ประตูน้ำ เป็นแหล่งช้อปปิ้งที่ในวันว่างๆ “ผ่านมาแวะกิน” มัก จะชักชวนเพื่อนฝูงไปเดินดูสินค้าเสมอ แต่ก่อนจะเริ่มเดินนั้น ก็ต้องไปหาของอร่อยกินรองท้องกันเสียก่อน จะได้มีแรงเดินช้อปปิ้งนานๆ มื้อนี้จึงอยากจะนำเสนออีกร้านอร่อยขึ้นชื่อ ที่ใครผ่านไปผ่านมาก็ต้องแวะมากินกันที่ร้าน “บะหมี่แสบคูณสอง”
ด้านหน้าร้านบะหมี่แสบคูณสอง
       ร้านนี้เปิดมากว่า 20 ปีแล้ว โดยตอนแรกนั้นตั้งอยู่ติดริม ถ.เพชรบุรี แต่ตอนนี้ได้เปลี่ยนเป็นศูนย์การค้าชิบูย่า 19 แล้ว ร้าน “บะหมี่แสบคูณสอง” จึง ได้ย้ายเข้ามาอยู่ใน ซ.เพชรบุรี 19 แทน แต่ว่าความอร่อยก็ยังคงอยู่เช่นเดิม ส่วนบรรยากาศของร้านก็นั่งกันเย็นสบายในห้องปรับอากาศ ไม่ต้องเหงื่อไหลไคลย้อย
บะหมี่แห้งปู
       อย่างเมนูขึ้นชื่อของร้านนี้ที่ต้องสั่งกันก็คือ บะหมี่แห้งปู (40, 50, 60 บาท) ที่ทางร้านทำเส้นบะหมี่เอง โดยจะเป็นบะหมี่ไข่ ที่ไม่ใส่สารกันบูด ที่ได้ลองชิมแล้วต้องบอกว่าเหนียวนุ่มมากๆ ส่วนเนื้อปูก็จะใช้เนื้อปูเป็นก้อนๆ ที่กินแล้วเต็มปากเต็มคำดี
บะหมี่แห้งหมูแดง
       หรือหากจะสั่ง บะหมี่แห้งหมูแดง (40, 50, 60 บาท) ชามนี้ก็จะได้ความเหนียวนุ่มอร่อยของเส้นบะหมี่เช่นกัน แต่รสชาติจะแตกต่างออกไปด้วยหมูแดงที่นำเนื้อหมูส่วนสะโพกมาหมักด้วยเครื่อง ปรุงรสต่างๆ แล้วนำไปย่างด้วยเตาถ่าน ให้รสชาติที่ออกหวานๆ เนื้อหมูนุ่มๆ
เกี้ยวน้ำปูหมูแดง
       ส่วนอีกชามที่น่ามาลิ้มลองก็คือ เกี๊ยวน้ำปูหมูแดง (40, 50, 60 บาท) ที่ตัวเกี๊ยวเป็นเกี๊ยวหมูปรุงรสได้กลมกล่อม หอมนุ่ม แล้วก็ใส่หมูแดง และเนื้อปูเป็นก้อนๆ ส่วนน้ำซุปก็เคี่ยวมาจากกระดูกหมูแล้วปรุงรสเล็กน้อย ทำให้ได้น้ำซุปรสชาติดี แบบที่ไม่ต้องปรุงเพิ่มก็อร่อยแล้ว
      
       และอีกหนึ่งเมนูแนะนำของร้านนี้ก็คือ ข้าวขาหมูโอวัลติน (40, 50, 60 บาท) เป็นสูตรพิเศษของทางร้านที่คิดค้นขึ้นมาเพิ่มความอร่อย ขาหมูนั้นจะใช้ทั้งขาหน้าและขาหลังมาทำความสะอาด แล้วต้มพร้อมกับเครื่องพะโล้ ปรุงรสด้วยเครื่องปรุงต่างๆ รวมถึงผงโอวัลตินที่จะช่วยให้ได้รสเข้มข้นขึ้น โดยจะเคี่ยวไว้ข้ามคืนเพื่อความเปื่อยนุ่ม
ข้าวขาหมู
       นอกจากขาหมูแล้ว ก็ยังมีไส้พะโล้ ที่นำมาต้มกับ เครื่องพะโล้เช่นกัน ลองชิมข้าวขาหมูจานนี้แล้วรสชาติจะออกเค็มๆ หน่อย แต่ก็หอม กลมกล่อม อร่อยดี แล้วเพิ่มความจี๊ดจ๊าดให้กับข้าวขาหมูด้วยน้ำจิ้มสูตรเด็ด ที่ออกเปรี้ยวๆ เผ็ด ถ้ากินคู่กันแล้วก็ยิ่งอร่อยเหาะ
      
       นอกจากนี้ก็ยังมี คากิ (ขาละ 60 บาท) มาให้ลองชิมด้วย หรือใครอยากจะเพิ่มโปรตีนก็ต้องสั่ง ไข่พะโล้ (ฟองละ 10 บาท) มากินคู่กัน หรือหากชอบขาหมูมากๆ ก็สั่ง ขาหมูทั้งขา (ขาละ 500 บาท) กลับไปกินที่บ้านก็ได้
      
       ความอิ่มอร่อยแบบนี้ แวะเวียนมาลองชิมกันได้ที่ร้าน “บะหมี่แสบคูณสอง” ซึ่ง หากว่ากินอิ่มแล้วจะไปเดินออกกำลังกายเผาผลาญพลังงานด้วยการช้อปปิ้งต่อก็ ยังไหว หรือจะไปช้อปปิ้งก่อนแล้วแวะมาเติมพลังก็ไม่ว่ากัน