วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

จำคุก 20 ปี “คนถ่อย” ส่ง SMS หมิ่นเบื้องสูง


  วันนี้ (23 พ.ย.) เมื่อเวลา 09.30 น.ที่ห้องพิจารณาคดี 801 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อ.311/2554 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 7 เป็นโจทก์ฟ้อง นายอำพล ตั้งนพกุล อายุ 61 ปี เป็นจำเลยในความผิดฐาน หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (2), (3) ฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร
      
       คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 9, 11 และ 22 พ.ค.53 จำเลยใช้โทรศัพท์มือถือส่วนตัวพิมพ์ข้อความอันเป็นการจาบจ้วง ดูหมิ่นพระเกียรติยศ และหมิ่นประมาทใส่ความให้ร้ายสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จากนั้นจำเลยส่งข้อความดังกล่าวไปยังโทรศัพท์มือถือของนายสมเกียรติ ครองวัฒนสุข ขณะดำรงตำแหน่งเลขานุการส่วนตัวของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นบุคคลที่ 3 เหตุเกิดที่แขวงสามเสนใน เขตพญาไท แขวงและเขตดุสิต กทม. ตำบลสำโรงเหนือ อำเภอเมือง จ.สมุทรปราการ เกี่ยวพันกัน จำเลยให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหาอ้างว่าขณะเกิดเหตุนำโทรศัพท์ไปซ่อมที่ร้าน ซ่อมโทรศัพท์แห่งหนึ่งที่ห้างสรรพสินค้าอิมพีเรียล สาขาสำโรง นอกจากนี้ยังส่งข้อความสั้นผ่านทางโทรศัพท์มือถือไม่เป็น
      
       ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานนำสืบทั้งสองฝ่ายแล้วเห็นว่า จากการสอบสวนพบว่า โทรศัพท์และหมายเลขโทรศัพท์ดังกล่าวเป็นของจำเลย ที่จำเลยอ้างว่านำโทรศัพท์ไปซ่อมนั้น ต่อมาพนักงานสอบสวนนำตัวจำเลยไปยังห้างดังกล่าว ปรากฏว่าจำเลยอ้างว่าจำไม่ได้ว่าซ่อมที่ร้านไหน ทั้งที่จำเลยต้องไปที่ร้านซ่อมโทรศัพท์อย่างน้อย 2 ครั้ง ในวันที่ส่งซ่อมและในวันที่ไปรับโทรศัพท์คืน ส่วนที่จำเลยอ้างว่าส่งข้อความทางโทรศัพท์มือถือไม่เป็น และไม่ทราบว่าหมายเลขผู้รับข้อความเป็นของเลขานุการอดีตนายกรัฐมนตรีนั้น เป็นการง่ายที่จะกล่าวอ้าง พยานหลักฐานจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์ เชื่อว่าจำเลยเป็นเจ้าของโทรศัพท์ และซิมการ์ดโทรศัพท์ที่ใช้ก่อเหตุ ข้อความมีลักษณะแสดงความอาฆาตมาดร้าย ใส่ความทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศ ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ทั้งที่ข้อความดังกล่าวล้วนไม่เป็นความจริง การกระทำของจำเลยจึงมีความผิดตามฟ้อง
      
       พิพากษาให้ลงโทษจำเลยฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อันเป็นบทลงโทษสูงสุด ให้เรียงกระทงลงโทษ จำคุกจำเลยเป็นเวลา 5 ปี จำนวน 4 กระทง รวมจำคุกทั้งสิ้น 20 ปี

วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ทีมปล้นบ้านปลัดจ่อหอบ 9 ล้านขอมอบตัวอีก 1

 วันนี้ (21 พ.ย) ที่กองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บก.สส.บช.น.) พ.ต.อ.อิทธิพล กิจสุวรรณ ผอ.ศูนย์เทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เดินทางพบ พล.ต.ต.รณศิลป์ ภู่สาระ ผบก.สส.บช.น.เพื่อประสานข้อมูลกับตำรวจในคดีคนร้ายบุกปล้นบ้าน นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม โดยมี พล.ต.ต.อิทธิพล ภิริยะภิญโญ พล.ต.ต.เอื้อพงศ์ โกมารกุล ณ นคร รองผบช.น.เข้าร่วมหารือ โดยใช้เวลากว่า 3 ชั่วโมง
      
       พล.ต.ต.รณศิลป์ เปิดเผยว่า ผู้ต้องหาที่เข้ามอบตัวล่าสุด คือ นายชยธัช หรือ เอก จันนะชัย อายุ 33 ปี โดย นายเอก ให้การยอมรับว่า เป็นคนบอกข้อมูลเกี่ยวกับบ้านของนายสุพจน์จริง แต่ไม่ได้เป็นคนสั่งการให้เข้าไปปล้น เพียงได้ยินแม่ตนเองที่เป็นอดีตเลขาฯ หน้าห้องของนายสุพจน์ เล่าให้ฟังถึงบ้านนายสุพจน์ จึงทำให้ทราบว่า บ้านสุพจน์มีเงินเป็นจำนวนมาก พอแม่ของตนถูกบีบให้พ้นจากตำแหน่งจนต้องออกจากงาน ตนจึงรู้สึกอัดอั้นตันใจกับเรื่องที่เกิดกับแม่ เลยไปพูดกับ นายบุญสืบ หรือ สืบ โจมกัน อายุ 43 ปี ที่ถูกจับกุมไปก่อนหน้านี้เกี่ยวกับบ้านของนายสุพจน์ ว่า มีเงินจำนวนมาก จนทำให้นายบุญสืบ และพรรคพวกวางแผนเข้าปล้นเงินภายในบ้านนายสุพจน์ จนเป็นข่าวใหญ่โต โดยตนไม่มีส่วนรู้เห็นด้วย แต่ก็เป็นเพียงคำให้การของนายเอก ซึ่งเจ้าหน้าที่จะต้องทำการสืบสวนข้อเท็จจริงต่อไป ส่วน นางชุติมา (มารดา) จากการสอบปากคำแล้ว เบื้องต้นเชื่อว่าไม่น่าจะมีเจตนาทำให้เกิดเรื่องการปล้นบ้านของนายสุพจน์ ขึ้น เพียงแต่เล่าให้ลูกชายฟังเกี่ยวกับเรื่องบ้านของนายสุพจน์เท่านั้นเอง
      
       พล.ต.ต.รณศิลป์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ เมื่อวาน (20 พ.ย.) ยังได้รับการติดต่อจากนายประพันธ์ ผู้ต้องหาที่หลบหนีอยู่ว่าจะขอเข้ามอบตัว โดย นายประพันธ์ กล่าวว่า ตนได้เงินไป จำนวน 9 ล้านบาท แต่ยังไม่ระบุแน่ชัดว่าจะเข้ามอบตัววันไหน ต้องรอให้นายประพันธ์ติดต่อกลับมาอีกครั้ง ส่วนผู้ต้องหาที่เหลือขณะนี้ได้ส่งชุดติดตามไล่ล่าแล้ว ซึ่งได้รับการยืนยันว่านายวีระศักดิ์ หรือ โก้ เชื้อลี หลบหนีข้ามไปที่ประเทศลาวจริง ในวันที่ 14 หรือ 15 พ.ย.ที่ผ่านมานี้
      
       ต่อมาเวลา 11.00 น. พ.ต.อ.อิทธิพล กิจสุวรรณ ผอ.ศูนย์เทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เดินทางเข้าพบ พล.ต.ต.รณศิลป์ ภู่สาระ ผบก.สส.บช.น.เพื่อประสานข้อมูลกับตำรวจในคดีดังกล่าว โดยมี พล.ต.ต.อิทธิพล ภิริยะภิญโญ พล.ต.ต.เอื้อพงศ์ โกมารกุล ณ นคร รองผบช.น.เข้าร่วมหารือโดยใช้เวลากว่า 3 ชั่วโมง จากนั้น พ.ต.อ.อิทธิพล กล่าวว่า เดินทางมาประสานข้อมูลกับทางตำรวจ หลังจากเมื่อวานนี้ (20 พ.ย.) มีการแถลงจับกุมผู้ต้องหาเพิ่มเติม เพื่อรับทราบข้อเท็จจริงทางคดี รวมทั้งดูจำนวนเงินของกลางที่ตำรวจยึดคืนมาได้ว่าตรงกับที่สื่อมวลชนนำเสนอ หรือไม่ จากนั้นก็จะนำข้อมูลทั้งหมดไปเสนอผู้บังคับบัญชาต่อไป ทั้งนี้ หากมีการจับกุมผู้ต้องหาเพิ่มเติมอีกก็จะมีการประสานขอข้อมูลเพิ่มเติมจาก ตำรวจอีกครั้ง แต่อาจไม่จำเป็นต้องเดินทางมาโดยใช้วิธีประสานงานกันทางโทรศัพท์แทนก็ได้
      
       ต่อมาเมื่อเวลา 14.15 น. พ.ต.อ.ธวัช วงศ์สง่า ผกก.สน.วังทองหลาง พร้อมเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.วังทองหลาง เดินทางมาที่ บก.สส.บช.น.เพื่อประสานขออายัดเงินของกลางในคดีดังกล่าว เป็นเงินสดกว่า 16 ล้านบาท เพื่อนำไปเก็บรักษาไว้ที่ สน.วังทองหลาง จนกว่าคดีจะถึงที่สิ้นสุด
      
       ด้าน พล.ต.ต.เอื้อพงศ์ กล่าวว่า วันนี้ เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.ได้ประสานขอดูเงินสดของกลางในคดีนี้ รวมทั้งตรวจสอบสายรัดเงิน เพื่อตรวจสอบหาแหล่งที่มาของเงิน ส่วนคนร้ายที่เหลืออีก 4 คน ขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างติดตามตัว เชื่อว่า จะได้ตัวในเร็ววันนี้ ทั้งนี้ จากการสอบสวนนายชยธัช หรือ เอก จันนะชัย อายุ 34 ปี ผู้ต้องหารายล่าสุดที่เข้ามอบตัว เมื่อวันที่ 20 พ.ย.ที่ผ่านมา ในเบื้องต้นให้การรับสารภาพ แต่พอในชั้นสอบสวนกลับให้การปฏิเสธ แต่ในแนวทางการสืบสวนของตำรวจ รวมถึงจากการสอบปากคำผู้ต้องหาซึ่งเป็นตัวละครสำคัญในคดีที่ถูกจับกุมตัวได้ ก่อนหน้านี้ก็ได้ให้การซัดทอดไปถึงนายชยธัช
      
       อย่างไรก็ตาม หากเจ้าหน้าที่สามารถจับกุม นายวีระศักดิ์ หรือ โก้ เชื้อลี อายุ 36 ปี หัวหน้าแก๊งได้ ก็เชื่อว่า ความจริงทุกอย่างจะกระจ่างชัดมากขึ้น โดยในขณะนี้ได้ให้เจ้าหน้าชุดสืบสวนลงพื้นที่ติดตามนายโก้ไปยังประเทศลาว และประสานงานกับตำรวจฝั่งลาวในการร่วมมือติดตามจับกุมตัวนายโก้ คาดว่า น่าจะได้ตัวเร็วๆ นี้

วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เจ๊ติ๋มพาไอ้เอกมอบตัว-ปล้นปลัด

สว.ร่วมจี้นายกฯแถลงย้ำไม่ออกพรฎ.เอื้อ‘แม้ว’




 นางพรพันธุ์ บุญยรัตพันธุ์ ส.ว. สรรหา กล่าวว่า ขอฝากไปยังนายกฯ เนื่องจากทราบว่า พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม ออกมาแถลงจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาพ.ร.ฎ.อภัยโทษ พ.ศ.2554 เพื่อเอื้อประโยชน์ให้บุคคลที่ต้องคำพิพากษาแต่หลบหนีไม่ยอมรับโทษ ให้ได้รับการอภัยโทษร่วมกับนักโทษหมู่มากที่ต้องโทษอยู่แล้ว เป็นการนำการนิรโทษกรรมมาปะปนกับการอภัยโทษ โดยการใช้อำนาจบริหารไปล้มคำสั่งของศาล นอกจากนี้ พล.ต.อ.ประชา ยืนยันว่าจะคงไว้ซึ่งฐานความผิดที่ไม่ควรให้อภัยโทษ คือความผิดคดียาเสพติดและความผิดฐานทุจริต ถ้าลบล้างออกไปเท่ากับรัฐบาลหลอกลวงประชาชนมาตั้งแต่ต้น เพราะเคยระบุไว้ในการแถลงนโยบายว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องดำเนินการของ รัฐบาลนี้

 “ถ้ามีการถวายพ.ร.ฎ.ที่ด่างพร้อยเช่นนี้ โดยให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงลงพระปรมาภิไธย โดยมีนักโทษจำนวน 26,000 คนเป็นตัวประกัน เท่ากับเป็นการกดดันพระองค์ท่านอย่างชัดเจน และคนไทยที่จงรักภักดียังมีมากกว่า 50 ล้านคนคงจะไม่ยอม ทางที่ดีที่สุดขอให้นายกฯ แถลงย้ำให้ประชาชนมั่นใจและสบายใจมากกว่านี้” นางพรพันธุ์ กล่าว

 การเรียกร้องนายกฯ ให้ออกมาแถลงเพื่อความชัดเจนในเรื่องนี้ ยังมี นายสมชาย แสวงการ และนางนรีวรรณ จินตกานนท์ ส.ว.สรรหา

นครบาลจับกุมผู้ต้องหาค้ายาบ้า-ยาไอซ์ พร้อมของกลางกว่า 70 ล้านบาท


วันนี้ (21 พ.ย.) เมื่อเวลา 11.30 น. ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ต.วินัย ทองสอง รรท.ผบช.น. พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง รอง ผบช.น. พล.ต.ต.อิทธิพล พิริยะภิญโญ รอง ผบช.น. และพล.ต.ต.สมชาย พัชรอินโต ผบก.น.5 แถลงการจับกุม นายสายันต์ หรือกิ๊ก ห้วยหงษ์ทอง อายุ 25 ปี พร้อมด้วยของกลางยาบ้า 228,000 เม็ด มูลค่าประมาณ 68.4 ล้านบาท ยาไอซ์ มูลค่า 11.5 ล้านบาท รถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นวิช สีดำ 1 คัน เครื่องชั่งดิจิตอล 1 เครื่อง และซองพลาสติกใส 17 ซอง สามารถจับได้ที่ถนนทางเข้าห้องพักเลขที่ 515/286 ชั้น 19 อาคารศุภาลัย โอเรียนทัลเพลส กลางซอยสวนพลู 8 แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กทม.
      
       พล.ต.ต.วินัยเปิดเผยว่า จากการสอบสวนขยายผลการจับกุมผู้เสพและผู้ค้ารายย่อย ซึ่งถูกจับกุมในท้องที่ สน.พระโขนง ทราบว่ามีผู้จำหน่ายยาเสพติดรายสำคัญ และจะนำยาเสพติดมาส่งย่านพระโขนง โดยมีผู้จำหน่ายชื่อนายเอ็ม (ไม่ทราบชื่อสกุลจริง) ใช้รถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นวิช สีดำ เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้สืบสวนข้อมูลจากสายลับ ทราบว่านายเอ็มได้พักอาศัยอยู่ที่บริเวณภายในซอยสวนพลู 8 จึงได้เฝ้าดูมาโดยตลอด และได้พบรถคันดังกล่าววิ่งเข้าออกซอยเป็นประจำ ซึ่งตรงตามลักษณะที่ได้ข้อมูลมา จึงแสดงตัวและเข้าทำการตรวจค้น พบว่าผู้ต้องหาเป็นผู้ขับขี่ และพบยาบ้าซุกซ่อนอยู่ภายในรถยนต์ 2 หมื่นเม็ด และซุกซ่อนอยู่ในบ้านพักอีก 2 แสนกว่าเม็ด มูลค่ากว่า 68 ล้านบาท
        จากการสอบสวนผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า ทำมาแล้ว 3 ครั้งในระยะเวลา 4-5 เดือน ได้ค่าจ้างในการส่งครั้งละ 2 แสนบาท ไม่มีอาชีพอะไรนอกจากส่งยาเสพติด และยังเคยถูกจับในคดีรับซื้อของโจรมาแล้ว
        อย่างไรก็ตาม ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ร่วมกับทาง ป.ป.ส.ประสานข้อมูลเพื่อทำการขยายผล พร้อมทั้งแจ้งในข้อหามียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า, ยาไอซ์) ไว้ในความครอบครอง เพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย และนำตัวดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

วู้ดดี้เกิดมาคุย 1-5 เก่ง การุณ คืนวันอาทิตย์ที่ 20 พ.ย. 54


วันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

จดหมายทักษิณยุติเรื่องรัฐบาลจะออกกฎหมาย พรฏ.อภัยโทษ.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงเช้าของวันนี้ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ พรรคเพื่อไทย ได้มีการเผยแพร่จดหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ส่วนตัว โดยจดหมายดังกล่าวเขียนขึ้นด้วยลายมือ โดยมีข้อความว่า " ที่ดูไบ สหรัฐ อาหรับอิไมเรตส์ พฤศจิกายน 2554 พี่น้องไทยที่เคารพรัก เนื่องด้วยขณะนี้บ้านเมืองอยู่ในภาวะวิกฤตจากปัญหาน้ำท่วม ผมเป็นห่วงและต้องการให้ประเทศและพี่น้องประชาชนผ่านพ้นวิกฤตโดยเร็ว ซึ่งต้องการความสามัคคีปรองดองในชาติ จึงจะร่วมกันฝ่าฟันภัยธรรมชาติในครั้งนี้ได้ ผมขอสนับสนุนทุกมาตรการที่จะนำไปสู่ความปรองดองในชาติ และไม่อยากเห็นความพยายามใดที่จะทำให้บรรยากาศนี้เสียหาย และผมพร้อมที่จะเสียสละความสุขส่วนตัวทั้งๆที่ผมไม่ได้รับความเป็นธรรมมากว่า 5 ปีแล้ว เพื่อพี่น้องประชาชนผมจะอดทน"
"จากการเสนอพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษประจำปีซึ่งปีนี้เป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมายุ คบ 84 ปี จึงมีข่าวว่าอาจจะมีผมรวมอยู่ด้วย ผมมั่นใจในหลักการที่ว่ารัฐบาลจะไม่ทำการใดๆที่ให้ประโยชน์แก่ผมหรือบุคคลหนึ่งบุคคลใดเป็นการเฉพาะ ยิ่งกว่านั้นการกระทำใดๆในช่วงนี้ต้องเป็นไปเพื่อนำประเทศสู่ความปรองดองและฟันฝ่าวิกฤตจากภัยธรรมชาติ น้ำท่วมใหญ่เท่านั้น"

"อีกทั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังทรงพระประชวรอยู่ เราต้องไม่ทำให้พระองค์ทรงหนักพระราชหฤทัย เป็นอันขาดและผมก็มั่นใจว่าท่านนายกฯของเรามีแนวคิดและความตั้งใจเช่นเดียวกับผม"
"สำหรับพี่น้องที่สนับสนุนผม ห่วงใยผมก็ขออย่าได้ผิดหวัง เพราะเมื่อแสงแห่งธรรมปรากฏทุกอย่างจะจบเอง เพราะบ้านเมืองจะอยู่ในภาวะขัดแย้งอย่างนี้ตลอดไปไม่ได้"
"ท้ายนี้ ผมขอเรียกร้องทุกฝ่ายที่รักชาติบ้านเมืองจริง ต้องรู้จักคำว่า "Forgive and Forget" คือรู้จักให้อภัยซึ่งกันและกัน ลืมเรื่องเก่าๆเข้าสู่มิติใหม่ของวันพรุ่งนี้ เพื่อบ้านเมืองและลูกหลานเราครับ ด้วยความรักและคิดถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" 
นอกจากมีการเผยแพร่จดหมายฉบับภาษาไทยซึ่งเขียนด้วยลายมือแล้ว ยังมีการแผยแพี่จดหมายฉบับภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นตัวพิมพ์ด้วย

วันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

แก๊ง ปล้นบ้านปลัดคมนาคมสารภาพกลางวงแถลงข่าวได้เงินสดไปกว่า 200 ล้านบาท

    แก๊ง ปล้นบ้านปลัดคมนาคมสารภาพกลางวงแถลงข่าวได้เงินสดไปกว่า 200 ล้านบาทหลังชุดสืบสวนนำโดย "ภาณุพงศ์" รองผบ.ตร. รวบได้ 2 คนจากทั้งหมด 6 คน ยึดของกลางเงินสดเกือบ 3 ล้านบาท "ไอ้ไก่" ที่โดนล็อกคนแรกสารภาพสิ้น แฉขั้นตอนปล้นส่งคนไปเช่าห้องในคอนโดฯ ใกล้บ้านเกิดเหตุจับตานานนับเดือน ก่อนลงมือใช้เครื่องตัดสัญญาณโทรศัพท์ จากนั้นบุกเข้าไปจับแม่บ้านมัด เผยตอนเข้าไปในห้องพบเงินสดในกระเป๋าวางเรียงอยู่เพียบ แต่มีปัญญาขนออกมาได้แค่ 200 ล้าน อ้างยังเหลืออีก 700-1,000 ล้านบาท หลังลงมือสำเร็จไอ้โก้ให้เงินในกระเป๋าใบเล็กจำนวน 15 ล้านมาแบ่งกัน ที่เหลือบอกจะเอาไปให้ลูกพี่ซึ่งอ้างเป็นขรก. จำนวน 50% ไอ้โก้ได้ 30% และอีก 20% จะเอามาให้ทีมปล้น เร่งล่าเพิ่มไอ้โก้และพรรคพวกที่ยังหลบหนีอยู่ ตร.รู้แหล่งกบดานหมดแล้ว

ความคืบหน้าคดีปล้นบ้านนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดคมนาคม ซึ่งตำรวจติดตามจับกุมคนร้ายได้จำนวนหนึ่งให้การซัดทอดว่าร่วมลงมือทั้งหมด 6 คน มี "ไอ้โก้" ลูกน้องของเสธ.สนามม้า เป็นหัวโจก ล่าสุดเมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 17 พ.ย. พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา รอง ผบ.ตร. พร้อมด้วยพล.ต.ต.วินัย ทองสอง ว่าที่ผบช.น. พล.ต.ต.รณศิลป์ ภู่สาระ ผบก.สส. บช.น. พ.ต.อ.มานพ น่วมลิวงศ์ ผกก.สส.3 พ.ต.อ.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ ร่วมกันแถลงข่าวจับกุม นายสิงห์ทอง หรือไก่ ใจชื่นชม อายุ 44 ปี อยู่บ้านเลขที่ 135/46 ตรอกอาคาร 7 แขวง/เขตคลองเตย กทม. และนายเสาร์แก้ว หรือแก้ว นามวงค์ อายุ 59 ปี อยู่บ้านเลขที่ 238 หมู่ 7 ต.แม่ข้าวต้ม อ.เมือง จ. เชียงราย ผู้ต้องหาปล้นบ้านนายสุพจน์ พร้อมของกลาง เงินสดประมาณ 3 ล้านบาท เครื่องชอร์ตไฟฟ้า เครื่องตัดสัญญาณโทรศัพท์ ไขควง คีม ประแจ สร้อยคอทองคำ 5 บาท 2 เส้น นาฬิกา 1 เรือน

พล.ต.อ.ภาณุพงศ์แถลงว่า เนื่องมาจากเมื่อช่วงหัวค่ำของวันที่ 12 พ.ย.ที่ผ่านมา มีกลุ่มคนร้ายบุกเข้าไปปล้นบ้านของนายสุพจน์ เลขที่ 77 ซอยลาดพร้าว 64 แยก 2 แขวงวังทองหลาง เขตวังทองหลาง กทม. โดยกลุ่มคนร้ายอาศัยช่วงที่เจ้าของบ้านและคนในบ้านไม่อยู่ บุกเข้า ไปใช้เทปพันสายไฟมัดมือแม่บ้าน ก่อนพาขึ้นไปบนห้องนอนของนายสุพจน์ และรื้อค้นทรัพย์สิน หลบหนีไป

"จากการตรวจสอบในที่เกิดเหตุและตรวจสอบกล้องวงจรปิด พบว่าคนร้ายใช้รถกระบะยี่ห้อโตโยต้า รุ่นวีโก้ สีขาว 4 ประตู ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ออกจากที่เกิดเหตุมุ่งหน้าถนนเลียบด่วนรามอินทรา หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่จึงได้ลงพื้นที่สืบสวนหาข่าว กระทั่งทราบเบาะแสว่า มีบุคคลต้องสงสัยซึ่งมีพฤติกรรมใช้เงินร่ำรวยผิดปกติ จึงได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจไปตรวจสอบพบนายสิงห์ทอง หรือไก่ จึงได้เชิญตัวมาสอบปากคำ ก็พบพิรุธหลายอย่างและไม่สามารถชี้แจงที่มาของเงินได้ สุดท้ายจึงรับสารภาพว่าร่วมมือกับพวกรวม 6 คน ก่อเหตุปล้นทรัพย์ดังกล่าวจริง" รองผบ.ตร.กล่าว

โดยนายสิงห์ทอง ถูกจับและตำรวจพาไปตรวจค้นห้องพักย่านคลองตัน พบเงินสด 5 แสนบาท สร้อยคอทองคำ หนัก 5 บาท 2 เส้น ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้นำกำลังเข้าจับกุมนายเสาร์แก้ว ได้ที่บ้านพัก จ.เชียงราย พร้อมของกลางเงินสด 1,050,000 บาท และนำตัวไปขยายผลได้เงินเพิ่มอีก 1,272,000 บาท รวมเป็นเงิน 2,322,000 บาท

ผู้ต้องหาทั้ง 2 คนซัดทอดเพื่อนร่วมแก๊งอีก 4 คน คือนายวีระศักดิ์ หรือโก้ เชื่อลี อายุ 36 ปี อยู่บ้านเลขที่ 260 หมู่ 2 ต.แชะ อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา หัวหน้าแก๊ง, นายพงษ์ศักดิ์ นามวงค์ อายุ 35 ปี ลูกชายของนายเสาร์แก้ว, นายสมบูรณ์ ริยะเทน อายุ 40 ปี อยู่บ้านเลขที่ 40 หมู่ 5 ต.ท่าข้าวเปลือก อ.แม่จัน จ.เชียงราย และนายคำนวณ เมฆน้อย อายุ 38 ปี อยู่บ้านเลขที่ 449 หมู่ 9 ต.หินเหล็กไฟ อ.หัวหิน จ. ประจวบคีรีขันธ์

นายสิงห์ทองให้การว่า วางแผนมานานหลายเดือน ให้นายคำนวณไปเช่าอพาร์ตเมนต์รายวันชั้นสูงสุดที่ใกล้เคียงบ้านที่เกิดเหตุ คอยดูความเคลื่อนไหวของคนในบ้าน ขับรถวนเข้ามาดูบ้านที่เกิดเหตุหลายครั้ง แต่ยังไม่กล้าลงมือ กระทั่งนายวีระศักดิ์ นำเครื่องมือ เช่น เครื่องตัดสัญญาณโทรศัพท์ เครื่องชอร์ตไฟฟ้า ชะแลง วิทยุสื่อสาร หมวกไหมพรม หน้ากาก ถุงมือ และคีมตัดลวด จึงวางแผน กระทั่งวันเกิดเหตุนายวีระศักดิ์ขับรถกระบะยี่ห้อโตโยต้า รุ่นวีโก้ สีบรอนซ์ทอง ทะเบียน กฉ 1166 กาญจนบุรี พาพวกรวม 5 คนไปลงมือ ส่วนนายคำนวณ ดูต้นทางอยู่ด้านนอก

"นายวีระศักดิ์เปิดเครื่องตัดสัญญาณโทร ศัพท์ และให้ผมลงไปเปิดประตูรั้ว จากนั้นจึงเข้าไปจับแม่บ้านมัดมือแล้วบังคับพาขึ้นไปยังห้องนอนของนายสุพจน์ รื้อค้นทรัพย์สินพบกระเป๋าใส่เงินจำนวนมาก ได้เงินมาทั้งหมดกว่า 200 ล้านบาท ซึ่งที่แบ่งกันเบื้องต้นเป็นเงินสดที่อยู่ในกระเป๋าเล็กประมาณ 15 ล้านบาท นายวีระศักดิ์บอกให้แบ่งกันใช้ไปก่อน ส่วนเงินสดที่เหลือนายวีระศักดิ์เป็นคนเก็บไว้ แล้วจะนำมาแบ่งกันภายหลัง" นายสิงห์ทองให้การและอ้างอีกว่าตกลงกันว่าเงินที่ได้มาทั้งหมด 50 เปอร์ เซ็นต์ แบ่งให้ลูกพี่ของนายวีระศักดิ์ ที่เป็นข้าราชการ ส่วน 30 เปอร์เซ็นต์ เป็นของนายวีระศักดิ์ อีก 20 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือให้ทีมที่ลง มือแบ่งกัน ซึ่งตอนที่เข้าไปในห้องพบกระเป๋าใส่เงินสดวางเรียงอยู่เต็ม สามารถขนออกมาได้เพียงบางส่วนเท่านั้น ยังมีเงินเหลือในห้องอีกประมาณ 700-1,000 ล้านบาท

วันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ระบุรื้อบิ๊กแบ็ก-เสี่ยงน้ำลามเข้า "ห้วยขวาง-ดินแดง"



เมื่อ วันที่ 13 พ.ย. ชาวบ้านในเขตดอนเมืองกว่า 100 คน เข้ารื้อแนวคันกั้นกระสอบทรายบิ๊กแบ็ค บนถนนวิภาวดี-รังสิต ขนาดความยาวประมาณ 20 เมตร  ขณะที่พล.ต.อ. พงศพัศ พงษ์เจริญ โฆษกศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ยืนยันว่า ไม่มีคำสั่งการให้มีการรื้อแนวบิ๊กแบ็กระยะทาง 30 เมตรที่สนามบินดอนเมือง



 ด้าน ศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจป้องกันและแก้ปัญหาอุทกภัย กรุงเทพมหานคร รายงานสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่กทม.ในช่วงค่ำ หลังชาวบ้านรื้อแนวบิ๊กแบ๊ก ว่า กทม.ต้องเฝ้าระวังระดับน้ำอย่างใกล้ชิด เพราะหวั่นว่าจะส่งผลกระทบต่อพื้นที่ชั้นใน ขณะที่คลองบางซื่อ ระดับน้ำทรงตัว ส่วนสถานการณ์น้ำฝั่งพระนคร ด้านดอนเมือง จตุจักร นั้น ปริมาณน้ำล้นตลิ่ง  เช่นเดียวกับเขตสายไหม คลองลาดพร้าว ระดับน้ำยังคงล้นตลิ่ง

 นายชวลิต จันทรรัตน์ วิศวกรแหล่งน้ำและกรรมการผู้จัดการหน่วยธุรกิจแหล่งน้ำ บริษัททีมกรุ๊ป ระบุถึงกรณีการรื้อแนวบิ๊กแบ๊ก ว่า กรณีดังกล่าวจะส่งกระทบให้น้ำเดินเคลื่อนตัวได้เร็วขึ้น และจะทำให้หลายพื้นที่ประสบปัญหาน้ำท่วม เนื่องจากคลองบางซื่อจะระบายน้ำไม่ทัน

 ส่วนจุด ที่ต้องเฝ้าระวังคือ สุทธิสาร ซอยภาวนาเลขคู่ ก่อนจะมาถึงห้วยขวาง และดินแดง ทั้งนี้ จะทำให้ปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น 5 เท่าทันที โดยภายหลังการวางบิ๊กแบ็คถือเป็นการแบ่งน้ำไปในส่วนต่างๆ เฉลี่ยกันพอสมควร ต่างกันแค่ 1 ศอกเท่านั้น 

 



จับมือยิงเรือจ้าง อ้างฉุนโดนรุมตื้บขวางทางหากิน!


   วันนี้ (14 พ.ย.) เมื่อเวลา 10.00 น. ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง รรท.ผบช.ภ.1 พร้อมด้วย พล.ต.ต.คเชนทร์ คชพลายุกต์ รองจเรตำรวจ (สบ 7) ปฏิบัติราชการ บช.ภ.1 แถลงการจับกุม นายสมาน หรือดำ จั่นเพชร อายุ 45 ปี อาชีพขับเรือรับจ้าง อยู่บ้านเลขที่ 115/357 ม.10 ต.บางรักพัฒนา อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี ผู้ต้องหาใช้อาวุธปืนยิงคนขับเรือรับจ้างเสียชีวิต 2 ราย และบาดเจ็บอีก 1 ราย บริเวณทางเข้าหมู่บ้านบัวทอง เมื่อช่วงเย็นวันที่ 7 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยหลังก่อคดีได้หลบหนีไปซ่อนตัวใน จ.จันทบุรี
      
       พล.ต.ต.คำรณวิทย์กล่าวว่า จากการสอบสวนพบว่าคดีนี้เป็นเรื่องความขัดแย้งระหว่างนายสมาน กับผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ที่นำเรือมาวิ่งรับจ้างในพื้นที่น้ำท่วม โดยนายสมานถูกกลุ่มเจ้าถิ่นรังแกกีดกันไม่ให้วิ่งเรือในพื้นที่ ซึ่งก่อนเกิดเหตุกลุ่มเจ้าถิ่นได้พยายามพาพวกมารุมทำร้าย โดยนายสมานจึงใช้อาวุธปืนยิงเข้าไปในกลุ่มจนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บดัง กล่าว ซึ่งเบื้องต้นได้แจ้งข้อหาฆ่าผู้อื่น พยายามฆ่าผู้อื่น มีอาวุธไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย และพกอาวุธในที่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตเพื่อดำเนินคดี ส่วนกลุ่มผู้มีอิทธิพลรายนี้ ทาง บช.ภ.1 พบว่ามีประวัติทั้งเรื่องการจัดวินจักรยานยนต์ และคิวรถตู้ในพื้นที่ด้วย
      
       “อย่างไรก็ตาม เรื่องการขัดแย้งผลประโยชน์ในการวิ่งเรือรับจ้าง และการคิดค่าบริการแพงเกินจริงนั้น พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร.ได้เน้นย้ำให้ดำเนินการจึงได้มีการประชุมเพื่อแก้ปัญหาในเรื่องนี้ โดยตำรวจภูธรภาค 1 จะเข้าไปจัดระเบียบเพื่อไม่ให้เกิดปัญหา รวมทั้งร่วมกันกำหนดราคาค่าบริการที่ไม่เอาเปรียบซ้ำเติมผู้ประสบภัย โดยกลุ่มที่ขับเรือรับจ้างต่างๆ ต้องมีการขึ้นป้ายราคา พร้อมให้ตำรวจไปดูแลเพื่อไม่ให้เกิดการเอาเปรียบและความขัดแย้ง หากพบว่ากลุ่มใดที่ไม่ทำตามก็จะดำเนินการตามกฎหมาย” พล.ต.ต.คำรณวิทย์กล่าว
      
       ด้าน นายสมานกล่าวว่า ตนมีปัญหาส่วนตัวกับนายพิทักษ์ อยู่สุข กำนัน ต.บางรักพัฒนา จึงถูกข่มขู่ห้ามวิ่งเรือรับจ้างทั้งที่เป็นคนในพื้นที่ ก่อนเกิดเหตุกลุ่มเรือรับจ้างที่เป็นคนของกำนันจำนวนประมาณ 10 คนได้ขับเรือมาล้อมและเข้ามาต่อย จึงนำปืนที่เก็บไว้ท้ายเรือออกมายิง โดยกำนันคนนี้เป็นผู้มีอิทธิพลในพื้นที่มีความสนิทสนมนักการเมืองท้องถิ่น และคุมวินรถจักรยานยนต์รับจ้าง พร้อมยืนยันว่าไม่ได้วิ่งเรือเร็วตามที่เป็นข่าว และเก็บค่าโดยสารเพียง 50 บาทต่อคนตลอดสาย
      
       นอกจากนี้ สภ.ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ จ.ปทุมธานี ยังสามารถจับกุมแก๊งแมวน้ำที่ลักลอบเข้าไปงัดแงะขโมยของซ้ำเติมผู้ประสบภัย น้ำท่วมได้อีก 2 คน ประกอบด้วย นายนเรศ หรือโจ ศิลปะวุฒิ อายุ 43 ปี และ น.ส.บุญยัง หรือเจน สว่างศรี อายุ 34 ปี พร้อมของกลางหลายรายการ เช่น คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก โทรศัพท์มือถือ พระเครื่อง กล้องถ่ายรูป และอุปกรณ์งัดแงะ
      
       พล.ต.ต.คำรณวิทย์กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งว่าคนร้ายทั้ง 2 คนเข้าไปก่อเหตุในร้านขายเครื่องสังฆภัณฑ์ในตลาดสุชาติ ต.ประชาธิปัตย์ อ.ธัญบุรี จึงเข้าไปตรวจสอบพบกำลังก่อเหตุจึงควบคุมตัวดำเนินคดี ทั้งนี้ จากการสอบสวนทราบว่าเคยเข้าไปก่อเหตุในร้านดังกล่าวมาแล้ว 2 ครั้ง พร้อมกับนายแขก และนายตุ้มที่อาศัยในชุมชนริมทางรถไฟ และจะนำของที่ขโมยมาได้ไปขายให้นายแกในชุมชนหลักหก ซึ่งผู้ร่วมแก๊งที่เหลือไหวตัวทันหลบหนีไปได้ แต่ทางตำรวจได้ออกหมายจับทั้งหมดไว้แล้ว โดยจะสืบสวนติดตามจับกุมมาดำเนินคดีต่อไป

จับได้แล้วทีมฆ่า สห เมืองกรุง



มื่อเวลา10.00น. วันนี้ ( 14 พ.ย.)  พล.ต.ต.ปัญญา มาเม่น รรท.ผบช.ภ.2  แถลงผลการจับกุมนายศิริชัย  หรือเม สวนด้วง  อายุ 20 ปี  อยู่บ้านเลขที่ 61/1  ต.บางตลาด  อ.ปากเกร็ด  จ.นนทบุรี  เป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนขนาด .38  ยิง  จ.ส.อ.ณัฐพัฒน์  ศรีเกตุ    สังกัดกรมสารวัตรทหารบก 2.  นายเอิร์ธ (นามสมมุติ) อายุ 17 คนขี่จยย.พามือปืนหนี นางสุวพรบุญ  หรือสุ   สิริณัฎฐ์สกุล  อายุ 36 ปี  ภรรยาผู้ตาย อยู่บ้านเลขที่ 291/49  ซอยแยกรัชฎกัณฑ์  แขวงมักกะสัน  เขตราชเทวี  กทม.  ผู้จ้างวานในราคา 64,000 บาท

การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจากเมื่อเวลา 18.00น. วันที่ 6 พ.ย. ได้มีเหตุคนร้าย 2 คน ใช้อาวุธปืนขนาด .38  จี้ชิงรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฟีโน่  สีดำขาว  ทะเบียน จทค-175  ชลบุรีของ น.ส.กันทิมา  โสภณ  เหตุเกิดกลางซอย 12  ถนนบางแสนสายล่าง  แล้วคนร้ายได้ใช้รถจักรยานยนต์ดังกล่าวไปยิงจ.ส.อ.ณัฐพัฒน์ซึ่งนั่งอยู่ที่ โต๊ะอาหารภายในร้านฮาเล็มห่างจากจุดชิงรถประมาณ 120 เมตร  ถึงแก่ความตาย  ต่อมาเจ้าหน้าที่สืบทราบว่าทั้งหมดมีส่วนเกี่ยวข้องจึงขออนุมัติออกหมายจับ ส่วนสาเหตุเชื่อว่า มาจากปัญหาในครอบครัวที่ทะเลาะกันบ่อยครั้ง และฝ่ายหญิงอยากจะเลิกเพราะมีที่หมายปองคนใหม่แต่ฝ่ายชายไม่ยอมเลิก.