วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ตำรวจตรังบุกรวบตัว มือยิงเถ้าแก่นักธุรกิจน้ำดื่มชื่อดังพุ่งเป้าปมชู้สาว แต่ผู้ต้องหายังให้การปฏิเสธ




 เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 28 ต.ค. พ.ต.อ.ธรรมนูญ  ไตรทิพยพงศ์  รองผบก.ภ.จว.ตรัง พร้อมด้วยพ.ต.ท.รัฐกร  ภักดีวานิช  สว.สส.ภ.จว.ตรัง และเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม นำตัวนายวิโรจน์  กัญจนกาญจน์  อายุ 55 ปี  อยู่บ้านเลขที่ 15 หมู่ที่ 1 ต.บ้านชะอวด อ.จุฬาภรณ์ จ.นครศรีธรรมราช มาสอบสวน หลังจากตกเป็นผู้ต้องหาในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาโดยไตร่ตรองไว้ก่อน มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว ตามหมายศาลจังหวัดตรังที่  จ.343/2554  ลงวันที่ 27 ต.ค. 54       
  พ.ต.อ.ธรรมนูญ เปิดเผยว่า  สืบเนื่องจากทางเจ้าหน้าที่สืบทราบว่า  นายวิโรจน์ผู้ต้องหา ได้ก่อเหตุใช้อาวุธปืนขนาด 9 มม. ยิงนายสุวิน  ชอบชูผล เถ้าแก่ธุรกิจตัวแทนจำหน่ายน้ำดื่มเตยหอมในพื้นที่ตำบลเขาวิเศษ  ซึ่งเป็นน้ำดื่มชื่อดังของจังหวัดตรัง เหตุเกิดเมื่อกลางดึกวันที่ 15 ต.ค.ที่ผ่านมา จากการสอบสวนนายวิโรจน์ผู้ต้องหา  ยังคงยืนกรานให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา  โดยอ้างว่าไม่มีส่วนรู้เห็นกับเรื่องที่เกิดขึ้น  และไม่รู้จักนายสุวินฯผู้ตายแต่อย่างใด
  รองผบก.ภ.จว.ตรัง  กล่าวต่อไปว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจเชื่อมั่นในหลักฐานที่ยืนยันว่ามีข้อมูล เชื่อมโยงทางเทคโนโลยี ที่นำไปสู่กระบวนการจับกุมดำเนินคดี โดยผู้ต้องหาเป็นเพียงมือปืนที่ถูกรับจ้างหรือไหว้วานให้มาทำงาน ส่วนประเด็นในการสังหารนั้น  ทางตำรวจเชื่อว่า  น่าจะมาจากเรื่องชู้สาว เนื่องจากที่ผ่านมาผู้ตายมีภรรยาหลายคน.

วันพุธที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ขอมอบเพลงนี้แทนใจ...สำหรับวันนี้...ที่เป็นวันคล้ายวันเกิดของทุกท่านบนเฟสบุกค์.

ขณะนี้...ปัญหาน้ำดื่มในกทม.ประสพภาวะขาดแคลนหนัก...


ขณะนี้...ปัญหาน้ำดื่มในกทม.ประสพภาวะขาดแคลนหนัก...

วอนจังหวัดใกล้เคียงร่วมกันผลิตน้ำดื่ม...
ผู้ว่ากทม. ต้องสั่งนำน้ำดื่มเข้าจากต่างประเทศ เพื่อแก้ปัญหาคนกทม.ขาดแตลนน้ำดื่มเป็นการเร่งด่วน...

วันอังคารที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2554

กรุงเทพฯ วิกฤติ-หยุดยาว-สั่งอพยพ!!

  ล่าสุด การประชุมคณะรัฐมนตรีที่ ศปภ.วานนี้ (25 ตุลาคม) ก็ได้เห็นชอบวันหยุดราชการเป็นวันหยุดยาวรวม 5 วัน นั่นคือ วันที่ 27-28 ตุลาคมและวันที่ 31 ตุลาคม ครอบคลุม 21 จังหวัดทั้งกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล รวมไปถึงจังหวัดอื่นๆในพื้นที่เสี่ยงทั้งหมด ขณะเดียวกันก็ได้สั่งอพยพประชาชนในพื้นที่บริเวณที่น้ำเริ่มทะลักเข้ามา อย่างเร่งด่วน
      
       มีการคาดหมายกันว่า เวลานี้น้ำได้ได้เริ่มไหลเข้ามาถึงกรุงเทพมหานครในเขตชั้นใน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะเข้ามาถึงพื้นที่เขตเศรษฐกิจในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า มันก็ยิ่งตอกย้ำให้เห็นภาวะวิกฤติซ้ำเติมเข้ามาอีก ซึ่งเป็นลักษณะของภาวการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ มีทางเลือกอยู่ไม่กี่ทางเท่านั้น นั่นคือ ยอมรับชะตากรรมและหาทางบรรเทาความเสียหายให้น้อยที่สุดเท่านั้น แต่ทางเลือกดังกล่าวถือว่าทำใจยากเหลือเกิน
      
       หากพิจารณาจากการประกาศของรัฐบาล และศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในเรื่องวันหยุดยาว 5 วัน และสั่งอพยพในพื้นที่เสี่ยงอย่างเร่งด่วน ถือว่านี่คือการส่งสัญญาณชัดที่สุดแล้วว่า รัฐบาลหมดทางรับมือกับน้ำที่กำลังไหลบ่าเข้ามาได้ ความหมายเวลานี้ก็คือสั่งให้ชาวบ้านอพยพหนีออกไปโดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงภัยเพื่อไปหาสถานที่ปลอดภัยพักพิง หากเปรียบเป็นสมัยโบราณก็ต้องบอกว่าให้รีบหนีออกจากพระนคร หรือให้หาที่ปลอดภัยโดยเร็วที่สุด เพราะข้าศึกรุกเข้ามาประชิดทุกทิศทางแล้ว
      
       ขณะเดียวกัน เมื่อหันไปพิจารณาจากความเข้มแข็งของรัฐบาล ผู้นำรวมไปถึงบรรดาขุนพล ขุนศึกต่างๆมันช่างไร้ความหวังสิ้นดี ไม่สามารถฝากความหวังเอาไว้ได้เลย ตรงกันข้ามหากยังให้ความเชื่อมั่นกลับยิ่งจะทำให้ตัวเองไม่ปลอดภัยมากขึ้น เพราะเมื่อพิสูจน์จากผลงานก่อนหน้านี้ก็พ่ายแพ้มาตลอดรายทาง สร้างความพินาศย่อยยับให้เห็นอยู่ทุกวัน จนล่าสุดต้องถอยร่นลงมาในเมืองหลวงเป็นที่มั่นสุดท้าย และว่าไปทำไมมีแม้กระทั่งศูนย์บัญชาการใหญ่คือศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ ประสบอุทกภัยเวลานี้ก็กลายเป็นจุดเสี่ยงอาจต้องมีการอพยพหลบหนีไปหาสถานที่ อื่นต่อไป
      
       สิ่งที่นักวิชาการที่เชี่ยวชาญทางด้านน้ำเริ่มมองเห็นแล้วว่าปริมาณ น้ำจะไหลบ่าเข้ามาทางถนนวิภาวดีรังสิต ผ่าเข้ามาจนถึงใจกลางเมือง มาเรื่อยๆ จนถึงห้าแยกลาดพร้าว จนถึงดินแดงก่อนที่จะพยายามไหลลงสู่อุโมงค์ยักษ์ระบายลงสู่ทะเลให้เร็วที่ สุด แต่สิ่งสำคัญก็คือเมื่อน้ำไหลบ่าเข้ามาแบบนั้นมันจะแผ่ขยายวงกว้างออกไปทั้ง ซ้ายและขวา จนไม่สามารถควบคุมทิศทางได้ ทำให้เกิดภาวะท่วมขัง ซึ่งกว่าจะสูบให้ระดับน้ำลดลงต้องใช้เวลานานนับเดือน
       ภาวะที่เกิดขึ้นดังกล่าวย่อมสร้างความเดือดร้อนให้แก่ชาวกรุงเทพมหา นคร ที่มีวิถีชีวิตแตกต่างจากพี่น้องในต่างจังหวัด เนื่องจากไม่อาจช่วยเหลือตัวเองได้ เพราะที่ผ่านมาทุกอย่างมีสิ่งอำนวยความสะดวกรองรับเอาไว้ตลอดเวลาแต่เมื่อ บรรยากาศพลิกผันเป็นตรงกันข้ามมันก็ยิ่งทำให้ปั่นป่วนรวนเร
       สิ่งที่เห็นก็คือ เวลานี้เริ่มมีศูนย์อพยพหรือแหล่งพักพิงชั่วคราวขยายออกไปตามต่างจังหวัดที่ น้ำไม่ท่วมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ชลบุรี เพชรบุรี ราชบุรี และกาญจนบุรี เป็นต้น เนื่องจากในกรุงเทพมหานครไม่ปลอดภัย
       ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า เวลานี้กรุงเทพมหานครกำลังเข้าสู่ภาวะวิกฤตมากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มช่วยเหลือตัวเองไม่ได้มากขึ้นทุกวัน เนื่องจากภาวะขาดแคลนอาหารและเครื่องดื่มรวมไปถึงเครื่องอุปโภคบริโภคอื่นๆ เนื่องจากการคมนาคมถูกตัดขาด การขนส่งสินค้าไม่อาจทำได้
       นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่อเนื่องเป็นลูกโซ่จากความขาดแคลนดังกล่าว หากยังไม่มีการควบคุมและการบริหารจัดการที่ดีพอ โอกาสที่จะเกิดภาวะกลียุคก็เป็นไปได้ไม่น้อย เพราะในเมื่อมีภาวะขาดแคลน ตกงาน ขาดรายได้มันก็ยิ่งเกิดความปั่นได้ตลอดเวลา
       ดังนั้น นาทีนี้ถึงเวลาต้องพูดความจริงและย้ำกันอีกครั้งว่ากรุงเทพมหานครกำลังเข้า สู่ภาวะวิกฤตมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่มีทางเลี่ยง และต้องขนข้าวของไปไว้ในที่ปลอดภัย และขณะเดียวกันเตรียมหาทางอพยพเอาไว้ล่วงหน้าให้รอบคอบสำหรับพื้นที่ที่น้ำ ยังมาไม่ถึง แต่พื้นที่เสี่ยงก่อนหน้านี้ก็ได้เวลาเผ่นแล้ว เพราะถ้ารอให้น้ำไหลมาถึงหน้าบ้านรับรองว่า “เอาไม่อยู่” แน่นอน เตรียมตัวแล้วออกไปทันที!!

ล็อกสาวแสบแชตบีบีตุ๋นพริตตี้

เมื่อเวลา 19.00 น. วันที่ 24 ต.ค. พ.ต.ต.ปราโมทย์ จันทร์บุญแก้ว สว.สส.สน.บุฝผาราม นำกำลังเข้าจับกุม น.ส.อัยดา หรือจ๋า อักษรสม อายุ 26 ปี พร้อมของกลางเงินสด 1,500 บาท และใบรับสมัครงานที่กรอกแล้วอีก 18 ชุด สืบเนื่องจาก เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งจากหญิงสาวหน้าตาดีเกือบ 20 คน ว่าถูก น.ส.อัยดา ส่งข้อความผ่านทางโทรศัพท์มือถือหรือบีบี มาชักชวนให้ไปทำงานเป็นพริตตี้เปิดตัวสินค้าตามห้างดังต่าง ๆ ได้ค่าแรงวันละ 800 บาท มีพันธสัญญาผูกขาดงานยาวถึง 3 เดือน แต่ต้องเสียค่าธรรมเนียมการสมัครคนละ 500 บาท ทำให้มีผู้สนใจเดินทางไปสมัครจำนวนมาก
   
แต่สุดท้ายกลับไม่มีงานตามที่กล่าวอ้าง อีกทั้งเมื่อทวงถามขอค่าสมัครคืนกลับถูกบ่ายเบี่ยงอ้างเหตุผลต่าง ๆ นานา จึงรวมตัวกันเข้าแจ้งความ หลังเจ้าหน้าที่ทราบชุดสืบสวนจึงวางแผนให้สายลับโทรศัพท์ติดต่อขอสมัครงาน โดยนัดพบ น.ส.อัยดา ที่ห้างค้าปลีกรายใหญ่ สาขาอิสรภาพ เขตธนบุรี โดยเมื่อ น.ส.อัยดา หลงกล จึงแสดงตัวเข้าจับกุม สอบสวน น.ส.อัยดา ไม่ยอมให้การใด ๆ แต่ผู้เสียหายชี้ยืนยันให้จับกุม เบื้องต้นจึงแจ้งข้อหาฉ้อโกงประชาชน คุมตัวดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป.

รับสารภาพดื่มสุรากันเมา หยิบปืนมาเล่น...


จากกรณีนายเอ (นามสมมุติ) อายุ  17 ปี  ลูกชาย ด.ต.วัชระ ผบ.หมู่ จร.สน.ห้วยขวางถูกยิงเสียชีวิตบริเวณใต้แฟลตการเคหะอาคาร 1 แขวงและเขตดินแดง  เมื่อเช้ามืดวันที่ 24 ต.ค. ตำรวจคาดว่าสาเหตุการเสียชีวิตเพราะเล่นรัสเซียนรูเล็ตนั้น
ล่าสุด เมื่อเวลา 23.00 น.วันเดียวกัน  พ.ต.ท.จารุภัชร ทองโกมล รองผกก.สส.สน.ห้วยขวาง เปิดเผยว่า หลังเจ้าหน้าที่สอบสวนเยาวชนที่อยู่ในเหตุการณ์ ทราบตัวผู้ก่อเหตุแล้วคือนายนวพันธ์ ม่วงบุญศรี อายุ 23 ปี อยู่บ้านเลขที่ 2031/42 ชุมชนแฟลการเคหะ อาคาร 31 แขวงและเขตดินแดง  จึงส่งเจ้าหน้าที่เข้าติดตามกดดันจนผู้ก่อเหตุขอเข้ามอบตัวทันที 
สอบ สวนผู้ก่อเหตุให้การว่า เป็นเพื่อนกับผู้ตาย  นั่งดื่มสุรากันใต้แฟลตที่เกิดเหตุกับพวกรวม 8 คน หลังดื่มสุราจนเมาได้หยิบปืนลูกโม่ ขนาด .38 ออกมา พร้อมนำลูกกระสุนออกจากรังเพลิงจนหมด แล้วเหนี่ยวไก 4 ครั้ง ก่อนเหนี่ยวครั้งที่ 5 ลูกกระสุนที่หลงเหลืออยู่ในรังเพลิงพุ่งตรงเข้าศีรษะนายเอ  ที่นั่งอยู่ในแนวกระสุนพอดีจนเสียชีวิตคาที่ ตนเสียใจและตกใจมากที่เกิดเหตุไม่คาดฝันจึงขับรถจยย.นำปืนไปทิ้งที่สะพานพระ ราม 8 ก่อนกลับบ้านพักและเข้ามอบตัวดังกล่าว  เบื้องต้นตำรวจแจ้งข้อหากระทำการโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ชีวิต ก่อนนำตัวฝากขังโดยยังไม่ได้ให้ประกันตัว

วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2554

โจ๋วัย 17 ปี ลูกชาย ด.ต.ถูกคนร้ายใช้อาวุธปืน .38 ประกบยิงเสียชีวิต



โจ๋วัย 17 ปี ลูกชาย ด.ต.ถูกคนร้ายใช้อาวุธปืน .38 ประกบยิงเสียชีวิตขณะตั้งวงดื่มสุรากับเพื่อนบริเวณใต้ถุนแฟลตการเคหะย่านดินแดง ตร.คาดปมทะเลาะวิวาทกับคู่อริหรือเพื่อนร่วมวงเหล้า เตรียมสอบสวนหาสาเหตุที่แน่ชัด
วันนี้ (24 ต.ค.) เมื่อเวลา 05.00 น. ร.ต.อ.นิรภัย ธะกอง พนักงานสอบสวน (สบ 1) สน.ห้วยขวาง รับแจ้งเกิดเหตุยิงกันมีผู้เสียชีวิต บริเวณใต้แฟลตการเคหะอาคาร 1 แขวงและเขตดินแดง กทม. จึงรุดไปตรวจสอบพร้อม พ.ต.อ.บุญส่ง นามกรณ์ ผกก.สน.ห้วยขวาง เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน แพทย์นิติเวช รพ.รามาธิบดี เจ้าหน้าที่กู้ภัยป่อเต็กตึ๊ง
ที่เกิดเหตุบริเวณม้านั่งหินอ่อนได้ถุนแฟลตดังกล่าว พบศพนายวราห์ นนท์ภายวัน อายุ 17 ปี อยู่บ้านเลขที่ 2031/73 ถ.ประชาสงค์เคราะห์ แขวงและเขตดินแดง กทม. สภาพศพนอนตะแคงซ้าย สวมเสื้อยืดสีดำ กางเกงยีนส์ขายาวสีดำ มีบาดแผลถูกยิงด้วยอาวุธปืนขนาด .38 เข้าบริเวณขมับขวาทะลุท้ายทอย 1 นัด หัวกระสุนตกอยู่ห่างจากศพประมาณ 3 เมตร เจ้าหน้าที่จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน ใกล้กันบนโต๊ะหินอ่อนพบร่องรอยการตั้งวงดื่มสุรา ข้าวของหล่นกระจัดกระจาย
พ.ต.อ.บุญส่งกล่าวว่า ผู้ตายเป็นลูกชายของ ด.ต.วัชระ นนท์ภายวัน ผบ.หมู่งานจราจร สน.ห้วยขวาง ก่อนเกิดเหตุเวลา 21.00 น.วันที่ 23 ต.ค.ที่ผ่านมา ผู้ตายได้มาตั้งวงดื่มสุรากับเพื่อน กระทั่งเวลา 05.00 น.ได้เกิดเหตุยิงกัน และพบศพผู้ตายในที่เกิดเหตุ เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนได้นำตัวเพื่อนที่ร่วมวงดื่มสุรากับผู้ตายไปสอบปากคำที่ สน.ห้วยขวาง ส่วนปมสังหารคาดว่าน่าจะมาจากเรื่องการทะเลาะวิวาทของกลุ่มคู่อริ หรืออาจเป็นการทะเลาวิวาทกันเองของกลุ่มเพื่อนที่ร่วมวงดื่มสุรา อย่างไรก็ตาม ต้องรอสอบปากคำพยานที่เห็นเหตุการร์อย่างละเอียดเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงต่อไป

แถลงสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่กทม.


วันที่ 24 ต.ค. ที่ห้องเจ้าพระยา ศาลาว่าการ กทม. ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. แถลงสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่กทม. ภายหลังออกประกาศกรุงเทพมหานคร ฉบับที่ 4 ให้พื้นที่ดอนเมือง หลักสี่ บางเขน จตุจักร บางสื่อ และสายไหม เป็นพื้นที่เสี่ยงได้รับผลกระทบจากอุทกภัย พร้อมแจ้งเตือนให้ประชาชนขนย้ายข้าวของขึ้นที่สูง เนื่องจากเกรงว่าน้ำเหนือบริเวณรังสิต ปทุมธานี จะไหลบ่าเข้าท่วมพื้นที่
สำหรับระดับน้ำในคลองต่างๆ นั้นยังอยู่ในระดับปกติ ในส่วนของคลองหกวาสายล่าง ระดับน้ำเพิ่มขึ้น 10 เซนติเมตร คลองเปรมประชากรระดับน้ำสูงล้นตลิ่ง คลองทวีวัฒนาฝั่งธนบุรี เพิ่มขึ้น 7 ซม. นอกจากนี้ยังท่วมขัง ถ.สิรินธร ถ.พหลโยธิน ถ.วิภาวดี-รังสิต ถ.สายไหม ตั้งแต่วัดหนองใหญ่ถึงซอยเพิ่มสิน และ ถ.แจ้งวัฒนะเป็นช่วงๆ จากคลองประปาถึงคลองเปรมประชากร
ส่วนสถานการณ์พื้นที่ด้านเหนือ กทม. คาดว่าบางพื้นที่อาจมีระดับน้ำเพิ่มขึ้น โดยขณะนี้คลองเปรมประชากรหน้าสน.ดอนเมือง ระดับน้ำสูงใกล้ถึงขอบตลิ่ง เนื่องจาก กทม. เปิดประตูระบายน้ำเพิ่ม เพื่อเร่งระบายน้ำที่เข้ามาในพื้นที่คันกั้นน้ำ ทำให้น้ำในคลองมีระดับที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งสำนักการระบายน้ำ กทม. เร่งสูบน้ำไปลงแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อควบคุมน้ำในคลองให้อยู่ในระดับที่ไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนมากนัก และดำเนินการเรียงกระสอบทรายบริเวณอนุสรณ์สถานแห่งชาติด้าน ถ.วิภาวดี-รังสิต และ ถ.พหลโยธิน เพื่อป้องกันน้ำทะลักท่วมพื้นที่ใกล้เคียง
สำหรับพื้นที่ด้านตะวันออกของ กทม. มีน้ำท่วมขัง 88 จุด เนื่องจากมีฝนตกลงในพื้นที่ ทำให้เกิดน้ำท่วมขังโดยเฉพาะตามถนนและชุมชนที่ตั้งอยู่ริมคลองซึ่งมีระดับต่ำ อีกทั้งน้ำในคลองท่วมสูงจากน้ำเหนือและล้นแนวคันกั้นน้ำ ทำให้มีน้ำท่วมถนนและหมู่บ้านต่างๆ ประมาณ 15-35 ซม. โดยจุดที่น้ำท่วมขังมากที่สุด คือ เขตหนองจอก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ชุมชนตั้งอยู่ริมคลอง เช่น แนวริมคลองสามวา ชุมชนวัดตาหนวด ถ.ประชาร่วมใจ โดย กทม. ได้ดำเนินการติดตั้งเครื่องสูบน้ำและวางแนวกระสอบทรายแล้วทุกจุด
ขณะที่ด้านตะวันตกของ กทม. มีน้ำท่วมขัง 8 จุด โดยเฉพาะถนนและชุมชนริมคลองมหาสวัสดิ์ คลองบางกอกน้อย คอลงภาษีเจริญ คลองทวีวัฒนา อีกทั้งมีการเร่งระบายน้ำจาก จ.นนทบุรี ออกสู่ทะเลทำให้ระดับน้ำในคลองวันนี้สูงเอ่อล้นตลิ่ง
ส่วนระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาที่สูงขึ้นนั้น เกิดจากน้ำรั่วซึมแนวกระสอบทรายซึ่งเป็นแนวป้องกันชั่วคราวในบริเวณต่างๆ อาทิ สะพานพระราม 7 หน้า ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ซึ่งเกิดจากแนวป้องกันของ บ. CPAC พัง 50-60 ซม. ทั้งนี้สำนักการระบายน้ำ กทม. ได้ดำเนินการแก้ไขเสร็จเรียบร้อยแล้ว
นอกจากนี้ ตนสั่งการให้เจ้าหน้าที่ กทม. เร่งดำเนินการดูแลเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์น้ำที่อาจไหลเข้าท่วมพื้นที่สำคัญ 3 เรื่อง คือ 1.เขตพระราชฐานในพื้นที่ต่อเนื่องจาก 6 เขตข้างต้น ซึ่งอาจกลายเป็นพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม ให้เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังเตรียมพร้อมรับมือเป็นพิเศษ 2.ให้สำรวจพื้นที่บริเวณสนามบินดอนเมือง เพื่อเตรียมแผนหาทางเข้าออกของให้พร้อม
หากเกิดกรณีน้ำท่วมถนนวิภาวดีรังสิต จะต้องเปิดทางเข้าออกสนามบินดอนเมืองทางด้านอื่น เพื่อให้ ศปภ. ยังทำงานต่อไปได้ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะ ศปภ. เป็นศูนย์กลางในการแก้ปัญหาน้ำท่วมของทั่วประเทศจะให้อะไรเกิดขึ้นไม่ได้ ซึ่งกทม.เป็นเจ้าบ้านจึงต้องดูแล ศปภ.ให้ดีที่สุด และ 3.ประสานไปยังนิคมอุตสาหกรรม ลาดกระบังและบางชัน ที่อยู่ในพื้นที่ที่ทางน้ำจะผ่าน ให้เตรียมพร้อมป้องกันเต็มที่ ให้เสริมคันกั้นน้ำให้แข็งแรง เพราะมีความสำคัญทางด้านเศรษฐกิจ พร้อมให้พิจารณาเรื่องการป้องกันสารเคมี สารพิษ ที่อาจปนเปื้อน หากเกิดปัญหาน้ำท่วมขึ้น

วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ปลิงควายยาว 6 นิ้ว โผล่ปาก ซ.บ้านกล้วย-ไทรน้อย บางบัวทอง


 วันนี้ (14 ต.ค.) ที่ อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากชาวบ้านพบปลิงควายขนาดลำตัวยาว 6 นิ้ว ลอยขึ้นมาจากในท่อระบายน้ำหน้าร้านสุนทรเอ็มไพร์ราดหน้า ปากซอยบ้านกล้วย-ไทรน้อย ต.พิมลราช อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี โดยนายสาย คล้ายเครือ อายุ 28 ปี พนักงานร้านสุนทรเอ็มไพร์ราดหน้า เล่าให้ฟังว่า เมื่อคืนที่ผ่านมา (14 ต.ค.) ขณะที่ตนกำลังเก็บร้านพร้อมเพื่อนพบสัตว์ลักษณะคล้ายปลิงควายลอยอยู่บริเวณ หน้าร้านจำนวน 2 ตัว ตนและพนักงานร้านจึงช่วยจับปลิงทั้ง 2 ตัวแต่ปรากฏว่าสามารถจับได้เ
พียงแค่ตัวเดียว ส่วนอีกหนึ่งตัวหลุดลอดไปได้ โดยคาดว่าคงหลบซ่อนตัวอยู่ตามซอกหินบริเวณทางเดินเท้า
      
       ขณะที่ นางวรัญญา ฤทธิปัญญา เจ้าหน้าที่ อสม.ประจำ อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี กล่าวว่า หากผู้ใดถูกปลิงเกาะบริเวณร่างกาย ให้ใช้เหล้าขาวและยาเส้นผสมกันแล้วบีบใส่ตัวปลิง ปลิงก็จะหลุดออกจากร่างกายได้ แต่กระนั้นก็ขอให้ผู้สัญจรในพื้นที่ควรระมัดระวังการเดินเท้า โดนควรใส่รองเท้าให้มิดชิด หรือสวมใส่รองเท้าบูตแทน
      
       ขณะที่สถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่นั้น ล่าสุดบริเวณปากซอยบ้านกล้วย-ไทรน้อย ถ.ตลิ่งชัน-สุพรรณบุรี น้ำจากคลองพระพิมลได้เอ่อล้นมาตามท่อระบายน้ำเป็นระยะทางยาวกว่า 500 เมตร โดยระดับน้ำได้ลึกเฉลี่ยกว่า 30 ซม. รถยนต์ขนาดเล็กสัญจรได้ลำบาก ทำให้การจราจรในพื้นที่ติดขัดอย่างมาก

วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2554

หนูเริ่มเป็นสาว...แนะนำร้านอาหาร.


ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองตามรวบสาวใหญ่แดนกิมจิ หลอกเพื่อนร่วมชาติให้ร่วมลงทุนทำธุรกิจส่งออกเมล็ดกาแฟ จนมีผู้หลงเชื่อในประเทศกว่า 10 ราย แล้วเชิดเงิน 425 ล้านวอน หรือประมาณ 13 ล้านบาท หลบหนีเข้ามากบดานในไทย จนมาถูก จนท.จับตัวได้


    วันนี้ (13 ต.ค.) ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) พล.ต.ต.มนู เมฆหมอก ผบก.สส.สตม. เปิดเผยว่า พ.ต.อ.เฉลิมพล จินตรัตน์ ผกก.2 บก.สส.สตม., พ.ต.ท.ประสาธน์ เขมะประสิทธิ์และ พ.ต.ท.ทิฆัมพร ศรีสังข์ รองผกก.2 บก.สส.สตม.ได้สั่งการให้ ร.ต.อ.พัฒนพงษ์ โรจนวานิชกิจ นำกำลังเจ้าหน้าที่เข้าจับกุม นางเคียง อิน คิม อายุ 53 ปี สัญชาติเกาหลีใต้ ผู้ต้องหาในความผิดฐานฉ้อโกง ตามหมายจับของศาลแดจอน สาธารณรัฐเกาหลีใต้ โดยสามารถจับกุมได้บริเวณริมถนนเทียม ร่วมมิตร แขวงรัชดาภิเษก เขตห้วยขวาง กทม.
      
       จากการตรวจสอบพบว่า ผู้ต้องหารายนี้เดินทางหลบหนีเข้าประเทศไทยตั้งแต่ 2544 โดยมีพฤติกรรมหลอกลวงคนเกาหลีใต้ ให้เข้าร่วมลงทุนในจังหวัดภูเก็ตทำธุรกิจส่งออกเมล็ดกาแฟ ที่ผ่านมามีผู้เสียหายเข้าแจ้งความดำเนินคดีในประเทศเกาหลีใต้รวม 10 ราย รวมมูลค่าความเสียหาย 425 ล้านวอน (13 ล้านบาท) ตรวจสอบเบื้องต้นผู้ต้องหาไม่สามารถนำหนังสือเดินทางมาแสดงได้
      
       เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงแจ้งข้อหาเป็นบุคคลต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต พร้อมส่งตัวไปยังสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีใต้ประจำประเทศไทย เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป

ศาลอุทธรณ์พิพากษาจำคุก “โอปอ” สาวประเภทสองที่ทำตัวเป็นมาม่าซังโหด ตบสาวอาชีวะบังคับเปิดซิง


    วันนี้ (13 ต.ค.) ศาลจังหวัดพิจิตรเปิดเผยผลการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค6 คดีหมายเลขดำที่ 563/2554 คดีหมายเลขแดงที่ 2808/2554 ให้จำคุกนายจณิสตา จันทร์ประเทศ หรือโอปอ อายุ 33 ปี อยู่บ้านเลขที่ 66 หมู่ 5 ต.สามง่าม อ.สามง่าม จ.พิจิตร ซึ่งเป็นสาวประเภทสองและทำตัวเป็นมาม่าซัง จัดหาหญิงสาวและนักศึกษา เพื่อค้าประเวณี
      
       คดีดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่ 21 ก.พ.53 โดยศาลได้พิพากษาจำคุกในความผิดเกี่ยวกับเพศ ซึ่งเป็นความผิดต่อ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี ตาม ม.282 ม.79 โดยพฤติกรรมของนายจณิสตา แม่เล้าสาวประเภทสองผู้นี้ก่อนจะถูกจับด้วยการล่อซื้อนักศึกษาสาวขายบริการ นายจณิสตาได้ก่อพฤติกรรมโหดด้วยการบุกเข้าไปทำร้ายด้วยการตบนักศึกษาสาว วิทยาลัยอาชีวะแห่งหนึ่งถึงในหอพัก เพื่อบังคับให้เปิดบริสุทธิ์ค้าประเวณี โดยลงมือตบจนนักศึกษาสาวยกมือไหว้ก็ยังไม่หยุดการกระทำ พร้อมทั้งได้มีการถ่ายคลิปวิดีโอเอาไว้เพื่อข่มขู่หญิงสาวคนอื่นๆ และมีการนำมาเผยแพร่จนเป็นข่าวฉาว
      
       แต่การกระทำในครั้งนั้น โอปอปฏิเสธว่าเป็นการก่อการวิวาท เนื่องจากแย่งชายหนุ่มกันซึ่งฝ่ายนักศึกษาสาวได้แจ้งความและเอาผิดเพียงแค่ เรื่องทำร้ายร่างกาย
      
       จากนั้น พ.ต.ท.ถนอม จินาวา รอง ผกก.สภ.เมืองพิจิตร จึงได้ทำการวางแผนเข้าล่อซื้อบริการทางเพศ โดยโอปอได้จัดส่งหญิงสาวจำนวน 2 คนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีให้มาขายบริการทางเพศกับตำรวจ และสายลับที่เข้าล่อซื้อถึงโรงแรมม่านรูดแห่งหนึ่ง เมื่อได้หลักฐานเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงแสดงตัวและเข้าจับกุมดำเนินคดี
      
       โดยในชั้นพนักงานสอบสวน โอปอให้การปฏิเสธแต่ก่อนสืบพยานในศาลชั้นต้น โดยขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพต่อศาลชั้นต้น ซึ่งศาลชั้นต้นจำคุก 6 ปี จำเลยรับสารภาพจึงลดโทษจำคุกให้กึ่งหนึ่งโดยให้จำคุก 3 ปี และโอปอได้ยื่นอุทธรณ์ขอเมตตาว่าเพิ่งทำผิดเป็นครั้งแรกและจะหาเงินไปผ่าตัด แปลงเพศ
      
       ซึ่งศาลอุทธรณ์พิเคราะห์แล้วว่า การกระทำของจำเลยนอกจากจะ เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายแล้วยังขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน และเป็นบ่อเกิดของโรคติดต่อร้ายแรงที่มีสาเหตุมาจากการมีเพศสัมพันธ์ จึงมิใช่การกระทำผิดในเรื่องเล็กน้อย อีกทั้งข้ออ้างว่าทำไปเพื่อหาเงินมาแปลงเพศก็เป็นความจำเป็นส่วนตัว ดังนั้นที่จำเลยยื่นอุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษจึงไม่มีเหตุอันควรรอลงอาญา
      
       ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ซึ่งมีเมตตาให้พิพากษาลงโทษจำคุก 5 ปี แต่จำเลยรับสารภาพจึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงให้จำคุก 2 ปี 6 เดือน ซึ่งขณะนี้ได้ส่งตัวโอปอ มาม่าซังสาวประเภทสองรายนี้ที่มิได้สู้คดี หรือขอยื่นฎีกา เข้ารับโทษในเรือนจำจังหวัดพิจิตรแล้ว จึงนับเป็นการจบคดีฉาวของการค้าประเวณีในหมู่นักศึกษาและเยาวชนของ จ.พิจิตรดังกล่าว

วันอังคารที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2554

สถานประกอบการ 45 แห่ง อ้าแขนรับแรงงานกรุงเก่า 9 พันคน


     วันนี้ (11 ต.ค. ) นายสุเมธ มโหสถ รองอธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการเพื่อนช่วยเพื่อน ที่จะมีมาตรการให้สถานประกอบการที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่น้ำท่วมสามารถยืมแรง งานจากสถานประกอบการที่ประสบปัญหาน้ำท่วมได้ เพื่อช่วยเหลือแรงงานที่ได้รับผลกระทบให้มีรายได้ โดยได้มีการประชุมร่วมกับสถานประกอบการทั้ง 60 แห่ง ที่ จ.ชลบุรี ซึ่งมีสถานประกอบการกว่า 45 แห่ง ใน 4 จังหวัด ได้แก่ ชลบุรี ระยอง ปราจีน ฉะเชิงเทรา พร้อมเข้าร่วมโครงการ โดยมีความต้องการแรงงานกว่า 8,824 อัตรา
       โดยทางกรมการจัดหางานจะ ประสานฝ่ายบุคคลของสถานประกอบการที่ประสบปัญหาน้ำท่วม ที่ จ.อยุธยา เพื่อเคลื่อนย้ายแรงงานอย่างเป็นระบบ โดยประเภทกิจการและตำแหน่งงานว่างดังนี้ 1.ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ 2,567 อัตรา 2. แปรรูปสเตนเลสเหล็ก 57 อัตรา 3.ผลิตภัณฑ์สิ่งทอ 20 อัตรา 4.อาหาร/บะหมี่ 370 อัตรา 5.คลังสินค้า/Logistic 365 อัตรา 6.ผลิตภัณฑ์กล่องกระดาษ/สเปรย์ 40 อัตรา 7.รับเหมาแรงงาน 3,150 อัตรา 8.ผลิตภัณฑ์พลาสติก 464 อัตรา 9.เครื่องใช้ไฟฟ้าอิเลกทรอนิกส์ 1,050 อัตรา 10.เคมีภัณฑ์ 13 อัตรา 11.วัสดุก่อสร้าง 16 อัตรา 12.เครื่องฉีดพลาสติก 311 อัตรา 13.ผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูป 100 อัตรา 14.ค้าปลีก 75 อัตรา 15.ดูแลอสังหาริมทรัพย์ 155 อัตรา
   
       ทั้งนี้ หากแรงงานต้องการหาตำแหน่งงานเอง ทางข้อมูลจากกองวิจัยแรงงาน กรมการจัดหางาน ระบุข้อมูลตำแหน่งงานว่าง ณ วันที่ 9 ตุลาคม 2554 ว่า ทั่วประเทศมีจำนวนตำแหน่งงานว่างทั้งหมด 55,130 อัตรา โดยไม่รวม 6 จังหวัด ที่ประสบภัย ได้แก่ ชัยนาท อ่างทอง อยุธยา ลพบุรี สิงหบุรี นครสวรรค์ สามารถติดต่อได้ที่กองพัฒนาระบบบริการจัดหางาน 0-2245 -1693 และสามารถติดต่อจัดหางานใน 4 จังหวัดได้แก่ ชลบุรี 038-398054 ระยอง 038-694022-8 ปราจีน 037-454021-3 ฉะเชิงเทรา 038-515-034
   
       วันเดียวกัน วันนี้ (11 ต.ค.) นายอาทิตย์ อิสโม อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวว่า ขณะนี้มี 4 บริษัทในจังหวัดปทุมธานี คือ บริษัท เวสเทิร์น ดิจิตอล (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท ทอสเท็มไทย จำกัด บริษัท โตมิ จำกัด และบริษัทในเครือเซนทาโก แจ้งว่า พร้อมเข้าร่วมโครงการเพื่อนช่วยเพื่อน ในการเคลื่อนย้ายแรงงานจากจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ไปทำงานชั่วคราว ระหว่างรอโรงงานเปิดกิจการ โดยไม่จำกัดจำนวน ซึ่งโครงการนี้คาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการได้หลังน้ำลด
   
       ทั้งนี้ สาเหตุที่ไม่สามารถทำได้ทันทีนั้น เนื่องจากระดับน้ำยังสูง จึงยากต่อการทำข้อตกลงระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง รวมไปถึงปัญหาในการเดินทางไปทำงาน แต่อย่างไรก็ตาม จากการพูดคุยกับนายจ้างในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาในเรื่องของค่าจ้าง ซึ่งได้รับการยืนยันว่า ช่วง 1-2 เดือนนี้ นายจ้างยังช่วยจ่ายค่าจ้างให้กับลูกจ้างอยู่ ส่วนในการโอนย้ายคนงานตามโครงการนี้นายจ้างส่วนใหญ่เห็นด้วย
   
       สายด่วน สปส.ขอความช่วยเหลือพุ่ง
   
       นายจีระศักดิ์ สุคนธชาติ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 7-10 ตุลาคม ที่ผ่านมา สำนักงานประกันสังคมได้เพิ่มบริการในการสอบถามข้อมูลและประสานความช่วยเหลือ ให้กับผู้ใช้แรงงาน และสถานประกอบการที่ประสบอุทกภัย ผ่านสายด่วน 1506 ล่าสุด มีผู้ใช้แรงงานและสถานประกอบการโทรมาขอความช่วยเหลือ จำนวน 84 สาย
   
       ทั้งนี้ ส่วนใหญ่จะสอบถามเรื่องสิทธิ์ในการรักษาพยาบาล มาตรการช่วยเหลือผู้ใช้แรงงานของสำนักงานประกันสังคมสำหรับโรงงานที่ถูกน้ำ ท่วม รวมไปถึงสิทธิประโยชน์ต่างๆที่จะได้รับหากถูกเลิกจ้าง ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ได้รับเรื่อง เพื่อส่งต่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับทราบ
   
       อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่สถานการณ์อุทกภัยรุนแรงขึ้น มีผู้ประกันตน เจ้าของสถานประกอบการและประชาชน โทร.เข้ามาสอบถามข้อมูลเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 50 ซึ่งส่วนใหญ่จะโทร.เข้ามาในช่วงเวลา 12.00-24.00 น.ขณะที่มาตรการช่วยเหลือ ณ ขณะนี้ สำนักงานประกันสังคม ได้เสนอมาตรการลดเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ซึ่งยังไม่ได้ข้อสรุป
   
       เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กล่าวอีกว่า สำหรับ ผู้ประกันตนที่เจ็บป่วยในพื้นที่ประสบอุทกภัย สามารถเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลคู่สัญญาทุกแห่งโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ หากผู้ประกันตนประสบปัญหาขอให้ติดต่อขอรับการช่วยเหลือผ่านสายด่วน 1506 ตลอด 24 ชั่วโมง

หนุ่มมือด้วนยิงขาใหญ่นครปฐมเจ็บสาหัส


 เมื่อเวลา 21.00 น. ของวันที่ 10 ต.ค.ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวข่าวสดรายงานว่า ร.ต.ท.ตรงศักดิ์ ค้าข้าว ร้อยเวร สภ.เมืองนครปฐม รับแจ้งมีผู้ถูกยิงบาดเจ็บและเข้ามารักษาตัวที่ ร.พ.นครปฐม จึงรุดตรวจสอบพร้อมด้วย พ.ต.อ.วัฒนา พิมพ์อัฐ ผกก. พ.ต.ท.ตรัยฤกษ์ ปัญญาไตรรัตน์ รองผกก.ป. และพบผู้บาดเจ็บทราบชื่อคือ นายธงชาติ แสงโสม อายุ 28 ปี ถูกยิงด้วยอาวุธปืนเข้าด้านหลัง 2 แผล หน้าท้อง 1 แผล และรักแร้ซ้าย 2 แผล อาการสาหัส แพทย์ต้องนำเข้าห้องผ่าตัดช่วยชีวิต

 สอบสวนเพื่อนผู้บาดเจ็บทราบว่า ถูกยิงมาจากหน้าร้านเกมส์อินเตอร์เน็ต โมจิ ถนน 25 มกรา ข้างสวนหย่อมหน้ามูลนิธิสุขศาลานุเคราะห์นครปฐม ส่วนมือปืนผู้ก่อเหตุคือ นายธงชาติ หรือฉายา‘วัฒน์ด้วน’ เพราะมือขวาด้วนไม่มีนิ้วมือตั้งแต่ข้อมือ เป็นลูกชายร้านขายราดหน้าในตลาดองค์พระปฐมเจดีย์ หลังก่อเหตุได้ซ้อนท้ายจักรยานยนต์หลบหนีไป เจ้าหน้าที่จึงตรวจสอบที่เกิดเหตุพบปลอกกระสุนปืนขนาด 9 มม. ตกอยู่ 3 ปลอก จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน

 จากนั้นเจ้าหน้าที่ตรวจสอบกล้องวงจรปิดของร้านเกมส์อินเตอร์เน็ตพบ ภาพกลุ่มของนายธงชาติ พร้อมพวกทั้งวัยรุ่นชายหญิง ทอมและกระเทย รวม 12 คน ขี่รถจักยานยนต์มาที่หน้าร้านเกมส์ ขณะนั้นมีนายวัฒน์ด้วน และเพื่อน 4-5 คน ยืนคุยกันอยู่หน้าร้านเกมส์ จากนั้นกลุ่มของนายธงชาติขี่รถวนมาหน้าร้านเกมส์และลงมาใช้มีดไล่ฟันและรุม ทำร้ายกลุ่มนายวัฒน์ด้วน ขณะกำลังชุลมุนตะลุมบอลกันอยู่นั้น นายวัฒน์ด้วนจึงชักอาวุธปืนที่พกอยู่ยิงใส่นายธงชาติไป 3 นัด จนได้รับบาดเจ็บ ก่อนที่นายวัฒน์ด้วนจะซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์หลบหนีไป

หนุ่มดวงซวง ผึ้งกว่า100 ตัว รุมต่อยตาย



วันที่ 10 ต.ค. ผู้สื่อข่าวรับแจ้งคนถูกผึ้งต่อยตายไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาลมหาราช สอบถามนายฉลวย นนกระโทก อายุ 49 ปี อยู่บ้านเลขที่ 17/1 หมู่ที่ 8 ต.ละลมใหม่พัฒนา อ.โชคชัย จ. นครราชสีมา พ่อตาของนายสุเมธ ปล่องกระโทก อายุ 27  ปี อยู่บ้านเลขที่ 21 หมู่ที่ 8 ต.ละลมใหม่พัฒนา ผู้ตาย เล่าว่า เกิดเหตุเวลา 10.00 น. วันที่ 9 ต.ค. ตนพร้อมเพื่อนบ้านจะไปตีผึ่งใหญ่ ที่ไร่มันสำปะหลังห่างจากหมู่บ้านไป 300 เมตร เพื่อเอาน้ำหวานมาเป็นส่วนผสมในการกวนข้าวทิพย์ให้พระมหาไถ ถามวโร เจ้าอาวาสวัดกุดจอกใหญ่ ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 12 ต.ค.นี้ จึงเอ่ยชวนผู้ตาย ขณะที่ตนขึ้นไปบนตนไม้ นายสุเมธ อยู่ข้างล้าง รังผึ้งได้ตกลงมาผึ้งรุ่มต่อยนายสุเมธกว่า 100 ตัว โดยไม่ยอมต่อยคนอื่นๆ กระทั้งนายสุเมธ หลบเข้าไปในหน้ารถกระบะ และบอกกับเพื่อนๆ ว่าไม่ไหวให้นำส่งร.พ. และเสียชีวิตในเวลาต่อมา 

วันอาทิตย์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ตำรวจนนท์โชว์จับแก๊งผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ลักลอบค้ายาบ้า ยึดของกลางกว่า 5 พันเม็ด ยาไอซ์อีกเพียบ



    วันนี้ (8 ต.ค.) เมื่อเวลา 12.00 น. ที่สภ.บางบัวทอง พ.ต.อ.อภิชาต เรือนทิพย์ รักษาการ ผบก.ภ.จว.นนทบุรี พ.ต.อ.พงษ์สิทธิ์ แสงเพชร รอง ผบก.ภ.จว.นนทบุรี พ.ต.อ.โสภณ พึงไชย ผกก.สภ.บางบัวทอง พ.ต.ท.ไพบูลย์ พรหมแก้ว สวป.สภ.บางบัวทอง พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปราบปรามยาเสพติด สภ.บางบัวทอง จับกุมผู้ต้องหาลักลอบค้ายาเสพติดได้จำนวน 4 ราย พร้อมของกลางยาบ้า 5,040 เม็ด และยาไอซ์ จำนวน 98.19 กรัม
      
       ทั้งนี้ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 54 เวลาประมาณ 20.00 น. พ.ต.ท.ไพบูลย์ พรหมแก้ว สวป.สภ.บางบัวทอง เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปราบปรามยาเสพติด สภ.บางบัวทอง ได้จับกุมนายสราวุธ ผลสวัสดิ์ อายุ 43 ปี ได้ของกลางเป็นยาไอซ์ 0.79 กรัม ผู้ต้องหาที่ลักลอบจำหน่ายยาเสพติดในพื้นที่รอยต่อระหว่างอำเภอบางบัวทองกับ อำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี แล้วขยายผลต่อจนได้ผู้ต้องหาเพิ่มอีก 3 ราย ผู้ต้องหารายที่ 1 คือ นายก้อย หรือต้อม เรืองพิกุล อายุ 33 ปี ได้ของกลางยาบ้าจำนวน 2,000 เม็ด และยาไอซ์ จำนวน 8.15 กรัม ผู้ต้องหารายที่ 2 นายวิวรรธน์ หรือจ้ำ เนื่องชัยยศ อายุ 30 ปี ได้ของกลางยาบ้าจำนวน 2,030 เม็ด และยาไอซ์ จำนวน 69.00 กรัม และหนึ่งในนั้นมีผู้ต้องหารายสำคัญมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 9 ตำบลไทรน้อย อำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี คือนายสุรเชน หรืออุ้ย ถมทรัพย์ อายุ 29 ปี ได้ของกลางยาบ้า จำนวน 1,010 เม็ด และยาไอซ์จำนวน 20.25 กรัม
      
       เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งข้อหามียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) และยาไอซ์ไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย จึงนำตัวส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ชาวบ้านสุโขทัยบางหมู่บ้านสุดลำเค็ญ

 

  สถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่เศรษฐกิจฝั่งตะวันตกของ อ.เมือง จ.สุโขทัย จนถึงวันนี้ (9 ต.ค.) ทั้งชาวบ้านและผู้ประกอบกิจการต่างๆ ยังคงได้รับความเดือดร้อนหนัก ส่วนถนนจรดวิถีถ่อง ตั้งแต่สี่แยกคลองโพธิ์ ไปจนถึงหน้าห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี รวมระยะทาง 6 กิโลเมตร ถูกน้ำท่วมสูง 80 เซนติเมตร ถึง 1 เมตร รถยนต์ขนาดเล็กไม่สามารถสัญจรผ่านได้
      
       ขณะที่ผู้ป่วยและประชาชนผู้ใช้บริการ รวมทั้งแพทย์และพยาบาล ที่ต้องเดินทางเข้าออกโรงพยาบาลสุโขทัย ต่างก็ได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก เพราะการสัญจรไม่สะดวก และใช้เวลานานกว่าจะเดินทางถึง
      
       สำหรับชาวบ้านในพื้นที่หมู่ 12 บ้านโพธิ์ทองพัฒนา 1 ต.บ้านกล้วย อ.เมืองสุโขทัย ซึ่งถูกน้ำท่วมสูงกว่า 3 เมตร จนเกือบมิดหลังคาบ้านนั้น กำลังได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก เพราะขาดแคลนอาหารและน้ำดื่ม ทำให้ชาวบ้านหลายครอบครัวต้องพายเรือออกเก็บผักบุ้ง และผักกระเฉดมาต้มกินแทน
      
       น.ส.เมทินี วีระชาติ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ 12 กล่าวว่า หมู่บ้านนี้มี 34 หลังคาเรือน ถูกน้ำท่วมขังมานาน 5 เดือนแล้ว ตอนนี้ชาวบ้านต้องการข้าวสารและน้ำดื่มอย่างมาก เพราะที่ได้รับแจกก่อนหน้านี้รวม 3 ครั้ง หมดไปแล้ว
      
       “หมู่บ้านแห่งนี้อยู่ในพื้นที่เขตเทศบาลตำบลบ้านกล้วยใกล้ตัวเมือง สุโขทัย แต่ไม่มีน้ำประปาใช้ ชาวบ้านต้องอาศัยน้ำคลองแกว่งสารส้มไว้กิน แถมยังตกสำรวจเงินช่วยเหลือน้ำท่วม รายละ 5,000 บาท โดยชาวบ้านเพิ่งจะมีรายชื่อได้รับเงินในรอบที่ 3 นี่เอง”
      
       น.ส.เมทินีบอกว่า มีชาวบ้านหลายครอบครัวต้องย้ายไปนอนที่สถานีขนส่งสุโขทัย ส่วนคนที่ไม่ยอมย้ายออกไป ก็ต้องเสี่ยงกับตะขาบยักษ์ และงูพิษต่างๆ จำนวนมาก ที่หนีน้ำมาซุกซ่อนอยู่ในบ้าน และตนเองก็เพิ่งจะโดนตะขาบยักษ์กัดจนเกือบตาย ขณะที่กำลังช่วยชาวบ้านย้ายของหนีน้ำ
      
       ด้าน น.ส.จิตติมา สุขผลิน ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานสุโขทัย กล่าวถึงผลกระทบจากน้ำท่วมว่า มีนักท่องเที่ยวชาวไทยลดลง 40 เปอร์เซ็นต์ หรือราว 20,000 กว่าคน ทำให้ต้องสูญรายได้ไปประมาณ 20 ล้านบาท ทั้งนี้เป็นเพราะข่าวน้ำท่วมสุโขทัยที่ถูกเผยแพร่ออกไปตามสื่อต่างๆ ทำให้นักท่องเที่ยวหยุดเดินทางมา
      
       สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้รับผลกระทบน้อยมาก และยังถือว่าโชคดี แม้เส้นทางหลักถูกน้ำท่วม แต่ก็ยังมีเส้นทางเลี่ยงที่ใช้เดินทางเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวสำคัญได้

กทม.สั่งทุกเขตเตรียมแผนอพยพรับสถานการณ์น้ำท่วมฉุกเฉิน โดยเฉพาะพื้นที่เสียงฝั่งตะวันออก หลังน้ำเหนือจ่อเข้ากรุง 16-18 ต.ค.นี้



8 ต.ค. ภายหลังจาก ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้เรียกประชุมผู้บริหาร และผู้อำนวยการเขตต่างๆ  ในการเตรียมแผนรับมือน้ำท่วมกรุงเทพมหานคร และเตรียมแผนอพยพประชาชน เนื่องจากในช่วงวันที่ 16-18 ต.ค. ตามการคาดหมายจะมีน้ำทะเลสูง บวกกับมีน้ำปริมาณมากลงมาจากทางเหนือ รวมถึงการเตรียมเยียวยาฟื้นฟูผู้ประสพภัยหลังปัญหาน้ำท่วม

ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ เพื่อซักซ้อมความเข้าใจ และแก้ไขเพิ่มเติมในแผนอพยพ โดยในช่วงการอพยพจะมีการดูแลเรื่องอาหารที่นอน สัตว์เลี้ยง รวมถึงเครื่องนุ่งห่มให้ประชาชน รวมถึงจะมีการเยียวยาฟื้นฟูหลังปัญหาน้ำท่วมได้สิ้นสุดลง ซึ่งก็หวังว่าแผนอพยพที่ได้เตรียมไว้จะไม่ถูกนำมาใช้ แต่แผนอพยพต้องมีอยู่ในมือเช่นเดียวกับเวลาออกจากบ้าน ถ้ามีร่มอยู่ในมือหากมีฝนตกก็ไม่เป็นไร แต่ขอให้มีร่มอยู่ในมือไว้ก่อน 
ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ กล่าวต่อว่า ส่วนข่าวลือที่ออกมาต่างๆ ว่าน้ำจะท่วมกทม. ก็เกรงว่าประชาชนจะแตกตื่น เพราะยังมีการแจ้งเรื่องสถานการณ์น้ำท่วมผ่านทางทวิตเตอร์ ซึ่งคลาดเคลื่อนออกไป จึงขอให้ทุกฝ่ายตรวจสอบสถานการณ์ให้รอบด้านที่สุด โดยยืนยันว่าขณะนี้กทม.ยังถือว่า อยู่ในสถานการณ์ที่ควบคุมได้ และจะมีการแถลงข่าวสรุปสถานการณ์น้ำทุกวัน วันละ 2 ครั้ง ขณะเดียวกันจะมีสายด่วน 1555 และ 02-245-5115 สำหรับให้ประชาชนโทรมาแจ้งเรื่องร้องเรียนที่ศูนย์ของกทม.ได้ทันที
สำหรับหลักเกณฑ์การอพยพ อาจจะต้องพิจารณาจาก 1.หากสถานการณ์เสี่ยงต่อชีวิตจะต้องมีการอพยพคนออกมาทันที  2.ถ้าสถานการณ์ทำให้ประชาชน ไม่สามารถดำรงชีวิตตามปกติได้ หรือน้ำท่วมในระดับที่สูงก็ต้องมีการอพยพในทันทีเช่นกัน ทั้งนี้การอพยพประชาชนจะเน้นในพื้นที่เสี่ยงภัย ทางกรุงเทพมหานครฝั่งตะวันออก อาทิ เขตมีนบุรี หนองจอก คลองสามวา ลาดกระบัง เป็นต้น จากนั้นจะมีการขยายวงในการดูแลพื้่นที่อื่นให้ครอบคลุม 

วันเสาร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เปิด 15 จุดเสี่ยงน้ำท่วม พื้นที่ กทม.ชั้นใน

ผอ.สำนักการระบายน้ำ กทม. เผยจุดเสี่ยงน้ำท่วมซ้ำซาก 15 แห่ง ถ้า น้ำฝน น้ำเหนือ และน้ำทะเลหนุน ก็เสี่ยงจะเกิดน้ำท่วมได้ 

เมื่อวันที่ 8 ต.ค.นายสัญญา ชีนิมิตร ผู้อำนวยการสำนักการระบายน้ำ กรุงเทพ มหานคร (กทม.) เปิดเผยว่า สำหรับพื้นที่ชั้นใน กทม.จากการสำรวจพบว่า มี 15 พื้นที่เป็นจุดอ่อนและเสี่ยงต่อน้ำท่วม ถ้า 3 น้ำมาพร้อมกัน ทั้งน้ำฝน น้ำเหนือ และน้ำทะเลหนุน ก็เสี่ยงจะเกิดน้ำท่วมได้ เพราะกรุงเทพฯเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำ มีลักษณะเป็นแอ่งกระทะ ง่ายต่อน้ำท่วมขัง ได้แก่ 1)เขตสาทร ย่านถนนจันทร์ เซนต์หลุยส์ สาธุประดิษฐ์ 2)เขตพญาไท ถนนพหลโยธิน ช่วงคลองสามเสน-คลองบางซื่อ 3)เขตพระโขนง ถนนสุขุมวิท จากคลองพระโขนง-ซอยลาซาล 4)เขตวัฒนา ซอยสุขุมวิท 39 และ 49 5)เขตวังทองหลาง ถนนลาดพร้าว จากคลองลาดพร้าว-ห้างเดอะมอลล์ 6)เขตบึงกุ่ม ถนนนวมินทร์ จากคลองดอนอีกา-แยกถนนประเสริฐมนูกิจทั้งสองฝั่ง
7)เขตดินแดง ถนนรัชดาภิเษก หน้าห้างโรบินสัน 8)เขตจตุจักร ถนนรัชดาภิเษก แยกลาดพร้าว 9)เขตราชเทวี ถนนเพชรบุรี จากถนนบรรทัดทอง-แยกราชเทวี 10)เขตราชเทวี ถนนนิคมมักกะสัน 11)เขตราชเทวี ถนนพระรามที่ 6 หน้าตลาดประแจจีน 12)เขตบางแค ถนนเพชรเกษม ซอย 63 (ซอยวัดม่วง) 13)เขตยานนาวา ถนนเย็นอากาศ จากถนนนางลิ้นจี่- ซอยศรีบำเพ็ญ 14)เขตประเวศ ถนน ศรีนครินทร์ ช่วงคลองตาสาด-คลองตาช้าง และ 15)เขตพระนคร ถนนสนามไชยและถนนมหาราช 
นายสัญญา กล่าวต่อว่า ปัจจุบัน กทม.เตรียมรับมือเต็มที่ เฝ้าระวังสถานการณ์น้ำตลอด 24 ช.ม. ล่าสุดซื้อกระสอบทรายเพิ่มอีก 1.5 ล้านถุง เพราะทุกเขตขอเข้ามา นอกจากนี้ยังได้ขุดลอกคลองให้ระบายน้ำได้เร็วขึ้น ดูแลประตูระบายน้ำ เครื่องสูบน้ำ สถานีสูบน้ำ รวมถึงประสานงานกับกรมชลประทานช่วยบริหารจัดการน้ำผ่านคลองและอุโมงค์ลงสู่ทะเล 
"ถ้าน้ำมามากเกิน คนกรุงต้องยอมรับสภาพ ซึ่งปริมาณน้ำฝน กทม.รับมือได้เต็มที่ 1,500-1,600 ลบ.เมตรต่อวินาที ส่วนแม่น้ำเจ้าพระยารับได้ 3,000-3,500 ลบ.เมตรต่อวินาที" นายสัญญา กล่าว

“30จว.”จมบาดาล3ล้านคนทุกข์ระทม


]


วันนี้ (8 ต.ค.) นายวิบูลย์ สงวนพงศ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ในฐานะรอง ผอ.ศูนย์สนับสนุนการอำนวยการและการบริหารสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศอส.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันยังคงมีพื้นที่ประสบอุทกภัย 30 จังหวัด ได้แก่ จ.สุโขทัย พิจิตร พิษณุโลก นครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สระบุรี สุพรรณบุรี นครปฐม ปทุมธานี นนทบุรี อุบลราชธานี ขอนแก่น ศรีสะเกษ สุรินทร์ ฉะเชิงเทรา นครนายก ปราจีนบุรี เชียงใหม่ ร้อยเอ็ด ลำปาง เลย นครราชสีมา บุรีรัมย์ กำแพงเพชร และ จ.ตาก รวม 218 อำเภอ 1,498 ตำบล 10,747 หมู่บ้าน ราษฎรเดือดร้อน 762,765 ครัวเรือน 2,342,123 คน

ทั้งนี้ มีผู้เสียชีวิต 253 ราย สูญหาย 4 ราย พื้นที่การเกษตรคาดว่าจะเสียหาย 8,642,399 ไร่ พื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ บ่อปลา 123,824 บ่อ สัตว์ได้รับผลกระทบ 9,956,723 ตัว น้ำท่วมเส้นทาง ไม่สามารถสัญจรผ่านได้รวม 214 สาย แยกเป็นทางหลวง 60 สาย ใน 17 จังหวัด ทางหลวงชนบท 154 สาย ใน 28 จังหวัด

สำหรับสถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำต่าง ๆ ยังต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เนื่องจากระดับน้ำล้นตลิ่งมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะลุ่มน้ำปิง ที่อำเภอบรรพตพิสัย จ.นครสรรค์ ลุ่มน้ำยม ที่อำเภอบางระกำ จ.พิษณุโลก อำเภอสามง่าม อำเภอโพทะเล อำเภอโพธิ์ประทับช้าง จ.พิจิตร ลุ่มน้ำมูล ที่อำเภอเฉลิมพระเกียรติ อำเภอด่านขุนทด อำเภอโนนไทย จ.นครราชสีมา อำเภอสตึก อำเภอลำปลายมาศ อำเภอกระสัง จ.บุรีรัมย์ อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ อำเภอราษีไศล อำเภอกันทรารมย์ อำเภอเมือง จ.ศรีสะเกษ ลุ่มน้ำชี ที่อำเภอเมือง จ.ขอนแก่น อำเภอโกสุมพิสัย อำเภอเมือง จ.มหาสารคาม อำเภอจังหาร อำเภอทุ่งเขาหลวง จ.ร้อยเอ็ด อำเภอเมือง อำเภอมหาชนะชัย จ.ยโสธร ลุ่มน้ำสะแกกรัง ที่อำเภอเมือง จ.อุทัยธานี ลุ่มน้ำท่าจีน ที่อำเภอเมือง อำเภอสองพี่น้อง อำเภอบางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี อำเภอบางเลน อำเภอนครชัยศรี จ.นครปฐม

ส่วนลุ่มน้ำเจ้าพระยาปริมาณน้ำไหลผ่าน จ.นครสวรรค์ 4,650 ลบ.ม./วินาที เขื่อนเจ้าพระยามีปริมาณไหลผ่าน 3,651 ลบ.ม./วินาที ปริมาณน้ำไหลผ่านที่อำเภอบางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา 3,204 ลบ.ม./วินาที ส่งผลให้พื้นที่ลุ่มต่ำใน 10 จังหวัดที่อยู่ริมแม่น้ำ ได้แก่ อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี ลพบุรี อ่างทอง สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา สระบุรี ปทุมธานี และนนทบุรี ได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำล้นตลิ่งที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น สำหรับสถานการณ์น้ำในเขื่อนขนาดใหญ่ยังอยู่ในภาวะวิกฤต โดยเฉพาะเขื่อนภูมิพล เขื่อนแควน้อย มีปริมาณน้ำ 99 เปอร์เซ็นต์ เขื่อนสิริกิติ์มีปริมาณน้ำ 98 เปอร์เซ็นต์ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์มีปริมาณน้ำ 135 เปอร์เซ็นต์

นายวิบูลย์ กล่าวเตือนว่า ในระยะนี้ร่องมรสุมพาดผ่านพื้นที่ภาคกลางตอนล่าง และภาคตะวันออก ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังค่อนข้างแรง ทำให้มีฝนตกเกือบทั่วไป และฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออก และกรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยงภัยที่ราบลุ่มริมน้ำ ใกล้ทางน้ำไหลผ่านใน 12 จังหวัด ได้แก่ พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี กรุงเทพมหานคร นครนายก นครปฐม ราชบุรี เพชรบุรี ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด ขอให้ประชาชนระมัดอันตรายจากภาวะฝนตกหนัก และน้ำล้นตลิ่ง

ทั้งนี้ จากการติดตามสถานการณ์น้ำพบว่า สถานการณ์ในพื้นที่ภาคกลางตอนล่างยังค่อนข้างวิกฤต ระดับน้ำมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะจังหวัดปทุมธานี นนทบุรี และกรุงเทพมหานคร เนื่องจากได้รับผลกระทบจากมวลน้ำที่ไหลมาจากจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ส่งผลให้สถานการณ์น้ำล้นตลิ่งมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น ศอส.จึงได้กำชับให้จังหวัดพื้นที่ลุ่มริมแม่น้ำเจ้าพระยา และภาคกลางตอนล่าง เตรียมพร้อมรับมือภาวะน้ำล้นตลิ่งเข้าขั้นวิกฤติ โดยเร่งเสริมแนวคันกั้นน้ำให้สูงขึ้น พร้อมตรวจสอบคันกั้นน้ำให้อยู่ในสภาพมั่นคงแข็งแรง เพื่อป้องกันคันกั้นน้ำพัง ทำให้น้ำไหลเข้าท่วมพื้นที่ที่อยู่ในแนวเขตป้องกัน รวมถึงประชาสัมพันธ์ข้อมูลสถานการณ์น้ำให้ประชาชนรับทราบอย่างต่อเนื่อง

สำหรับประชาชนผู้ประสบภัยสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลได้ทางสายด่วนต่าง ๆ ดังนี้ เส้นทางหลวงแผ่นดิน 1586 รถไฟ 1690 ตำรวจทางหลวง 1193 ขอรับการช่วยเหลือทางการแพทย์ 1669 ขอความช่วยเหลือจากเหตุสาธารณภัย สายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง.

วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2554

รายงานสถานการณ์น้ำเอ่อล้นท่วมในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล




เวลา 20.50 น. สำนักการระบายน้ำ กทม. ระบุว่า ระดับน้ำแม่น้ำเจ้าพระยาเริ่มลดอย่างต่อเนื่องแล้ว หลังจากที่หนุนสูงขึ้นเกิน 2 เมตรเมื่อช่วงเย็น ทำให้ในขณะนี้ระดับที่ไหลเข้าท่วมบริเวณ จ.นนทบุรี และ กทม. ริมแม่น้ำเจ้าพระยาเริ่มลดลงแล้ว คาดว่าจะเข้าสู่ภาวะปกติเวลาประมาณ 22.00 น. คืนนี้

เวลา 19.40 น. สถานีวิทยุ จส.100 รายงานว่า น้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาได้เข้าท่วมบริเวณถนนชัยพฤกษ์ ช่วงเชิงสะพานพระรามที่ 4 ทุกช่องทางการจราจร แนะนำให้เลี่ยงใช้สะพานนนทบุรี หรือสะพานพระนั่งเกล้าแทน

เวลา 18.00 น. เทศบาลนครปากเกร็ด จ.นนทบุรี ประกาศหากไม่สามารถรับมือน้ำท่วมได้ จะจุดพลุสี 5 ครั้งให้ปชช.เตรียมอพยพ

ล่าสุดเมื่อช่วง 17.00 น. ที่ผ่านมา รายงานข่าวแจ้งว่าบริเวณหน้าโรงเรียนสตรีินนท์ น้ำได้เ่อ่อล้นท่วมเข้ามายังถนนแล้ว ทำให้การจราจรติดขัดยาวต่อเนื่องมาจนถึงแยกเกียกกาย ถ.สามเสน

นอกจากนี้บริเวณมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระัจันทร์ น้ำได้ทะลักเข้ามายังริมตลิ่งแล้ว



ประกาศเตือน! 13 เขต กทม.เสี่ยงจมน้ำท่้วม



ขณะที่ข้อมูลจาก สำนักการระบายน้ำ นับถึงเวลานี้มีบ้านเรือนของประชาชนมากกว่า 1,200 ครัวเรือน ใน 27 ชุมชน ครอบคลุมพื้นที่ 13 เขต ที่ตั้งอยู่นอกแนวคันกั้นน้ำริมแม่น้ำเจ้าพระยา คลองบางกอกน้อย และคลองมหาสวัสดิ์ สุ่มเสี่ยงที่จะจมบาดาล โดยได้แบ่งพื้นที่อันตรายออกเป็น 6 กลุ่มด้วยกัน คือ กลุ่มวิภาวดี มี 1 เขต คือ เขตบางซื่อ กลุ่มรัตนโกสินทร์ มี 3 เขต เป็นเขตดุสิต เขตพระนคร และเขตสัมพันธวงศ์

กลุ่มเจ้าพระยา มี 3 เขต เป็นเขตบางคอแหลม เขตยานนาวา และเขตคลองเตย กลุ่มกรุงธนบุรี มี 4 เขต คือ เขตบางพลัด เขตบางกอกน้อย เขตธนบุรี และเขตคลองสาน กลุ่มตากสิน มี 1 เขต คือเขตราษฎร์บูรณะ ส่วนกลุ่มมหาสวัสดิ์ มี 1 เขต คือ เขตทวีวัฒนา

นอกจาก 13 เขตเสี่ยงริมเจ้าพระยาแล้ว ยังมีจุดเสี่ยงพื้นที่ด้านฝั่งตะวันออกที่อาจได้รับผลกระทบหากน้ำจาก จ.ปทุมธานี ไหลทะลักเข้ามา คือ มีนบุรี หนองจอก ลาดกระบัง คลองสามวาบางส่วนที่ติดคลอง และสายไหมด้านเหนือ

ศาลสั่งคุก 20 ปี นศ.หลอกขายตุ๊กตาบลายธ์


ศาลอาญาอ่านคำพิพากษา คดีฉ้อโกงประชาชน น.ส.ศริญญา ชูเอี่ยม อายุ 26 ปี เป็นจำเลยในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน และประกอบธุรกิจการตลาดแบบตรงโดยไม่ได้รับอนุญาต ฟ้องโจทก์ระบุความผิดสรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 23 มี.ค. 2552 - 25 มี.ค. 2553 จำเลยได้บังอาจกระทำผิดกฎหมายโดยการลงโฆษณาทางเว็บไซต์ประกาศจำหน่ายสินค้าตุ๊กตา "บลายธ์" ในราคาที่ต่ำกว่าท้องตลาด ทั้งที่จำเลยมิได้จดทะเบียนให้ถูกต้องอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย จนมีประชาชนผู้เสียหายจำนวน 73 ราย หลงเชื่อสั่งซื้อตุ๊กตาบลายธ์ และโอนเงินผ่านธนาคารจำนวนกว่า 20 ล้านบาท แต่จำเลยไม่สามารถส่งตุ๊กตาบลายธ์ให้ผู้เสียหายได้ และก็ปฏิเสธและบ่ายเบี่ยงมาตลอด จนกระทั่งผู้เสียหายได้ทยอยเข้าแจ้งความต่อ พนักงานสอบสวน กองปราบปรามติดตามจับกุมจำเลยมาดำเนินคดี ชั้นสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธ แต่ให้การรับสารภาพในชั้นศาล

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยกระทำผิดจริง ตามประมวลกฎหมายอาญา, พ.ร.บ.ขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ.2545 ให้ลงโทษทุกกรรมฐานฉ้อโกงประชาชนรวม 73 กระทง จำคุกกระทงละ 2 ปี รวม 146 ปี ฐานประกอบธุรกิจแบบตรงโดยไม่จดทะเบียน จำคุก 4 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยไว้ 73 ปี 2 เดือน อย่างไรก็ตามซึ่ง ตามกฎหมายความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนนั้น กฎหมายกำหนดโทษจำคุกไม่เกิน 20 ปี คงจำคุกจำเลยไว้ 20 ปี และให้จำเลยคืนเงิน จำนวน 20,406,748 บาท แก่ผู้เสียหายด้วย

4 เขตของ กทม.เสี่ยงน้ำท่วมหนัก

ผู้ว่าฯ กทม.ยอมรับพื้นที่ 4 เขตฝั่งตะวันออกของ กทม.เสี่ยงวิกฤตน้ำท่วมหนัก แต่ยืนยันสามารถรับมือได้ ระบุ กทม.สามารถระบายน้ำได้ 30 ลบ.ม.ต่อวัน ขณะที่คลองหลักสามารถรับน้ำได้ 13 ลบ.ม.ต่อวัน

หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อรับมือปัญหาน้ำท่วม กทม.ที่เขตหนองจอก ซึ่งเป็นพื้นที่จุดเสี่ยงถูกน้ำท่วมซ้ำซากทุกปี เพราะเป็๋นพื้นที่รับน้ำจากคลองสิบสาม ทั้งนี้ได้สั่งการให้ทุกภาคส่วนเตรียมความพร้อมในการช่วยเหลือประชาชนในเขตกรุงเทพฝั่งตะวันออก 4 เขตที่เป็นจุดเสี่ยงอยู่นอกแนวคันกั้นน้ำ คือ เขตหนองจอก มีนบุรี คลองสามวา และลาดกระบัง ให้เตรียมสถานที่หากต้องมีการอพยพ

โดยจะอพยพ คนแก่ และผู้พิการ ออกมาอยู่ที่ศูนย์ที่โรงเรียนศูนย์ฝึกอาชีพของ กทม.แต่ละเขต และโรงเรียนในสังกัด กทม. และกระจายไปในจุดต่าง ๆ และได้เตรียมความพร้อมทรายไว้ 5 แสนลูก เตรียมงบไว้รองรับปัญหาน้ำท่วม 1,000ล้านบาท โดยเฉพาะวันที่ 16-17 ต.ค. นี้ ที่น้ำทะเลจะหนุนสูงสุด รวมถึงน้ำจากภาคกลางจะถึง กทม. ขณะเดียวกันก็ห่วงเขตดอนเมือง และสายไหม แต่ 2 เขต ยังถือว่าอยู่ในแนวคันกั้นน้ำจึงน่าจะรับมือได้

ส่วนกรุงเทพฝั่งตะวันตก จะมีการผันน้ำจากแม่น้ำท่าจีนลงทะเลและอาจทำให้น้ำจากจังหวัดสุพรรณบุรี นครปฐม ไหลบ่านั้น ยืนยันกรุงเทพฝั่งตะวันตกมีคลองทวีวัฒนา และคลองมหาสวัสดิ์ ที่จะรับน้ำและระบายลงทะเล อีกทั้งมีพื้นที่แก้มลิงสนามไชย ที่อำเภอมหาชัย จังหวัดสมุทรสาคร รองรับน้ำอีก

โดยพื้นที่กรุงเทพฯ สามารถระบายน้ำได้ 30 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน ขณะที่คลองทวีวัฒนา คลองประเวศ และคลองแสนแสบ สามารถรับน้ำได้ทั้งหมด 13 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งขณะนี้รับน้ำไปแล้ว 90 เปอร์เซ็นต์ และพร้อมเปิดประตูรับน้ำได้ 100 เปอร์เซ็นต์ โดยจะผันน้ำจากคลองแสนแสบ และประเวศไปที่คลองพระโขนง ผ่านอุโมงค์ยักษ์ ผันน้ำลงทะเลที่แม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง ซอยสุขุมวิท 50

ขณะที่สองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาในเขต กทม. มีเขื่อนคันกั้นน้ำ 71 แห่ง และมีพื้นที่แก้มลิง ทั้งหมด 21 แห่ง ดังนั้นจึงเชื่อว่าจะสามารถรับน้ำได้ แต่ก็ไม่ประมาทและยอมรับพื้นที่ริมคูคลองและแม่น้ำเจ้าพระยา จะท่วมอย่างแน่นอน แม้จะมีการป้องกัน เพราะไม่สามารถป้องกันได้ 100 เปอร์เซ็นต์

เขื่อนภูมิพล จ.ตาก ถูกด่ายับปล่อยน้ำสร้างความเดือดร้อน ประชุมเครียดแก้ปัญหาและรับพายุลูกใหม่ อีก 1 เปอร์เซ็นต์ น้ำล้น


สถานการณ์น้ำของเขื่อนภูมิพล ยังไม่คลี่คลายเพราะมวลน้ำมาจากภาคเหนือยังไม่ลด โดยเมื่อวานนี้มีมวลน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำทั้งสิ้น 183 ล้านลูกบาศก์เมตร ทำให้เขื่อนยังต้องเปิดประตูระบายน้ำฉุกเฉินทั้งสองบานต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 โดยเหลืออีก 142 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็น 1 เปอร์เซ็นต์ น้ำจะล้นอ่าง

นายสามารถ ลอยฟ้า ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก ได้ประสานทางเขื่อนภูมิพลขอให้พิจารณาลดการระบายน้ำลงจากเดิมที่ระบายวันละ 100 ล้าน ลบ.ม. เพราะน้ำจากแม่น้ำวังไหลมาสมทบในปริมาณมากเป็นประวัติการณ์และไหลลงสู่แม่น้ำปิงช้า เพราะแม่น้ำวังมีระดับต่ำกว่าแม่น้ำปิงจะไปดันน้ำวังให้ไหลช้าลง ทำให้กระแสน้ำเอ่อท่วมบ้านเรือนราษฎรใน ต.ยกกระบัตร ต.วังหมัน และ ต.วังจันทร์ ของ อ.สามเงา ส่วนชาวบ้านใน 4 ตำบล คือ ต.ตากออก ต.ตากตก ต.เกาะตะเภา และ ต.สมอโคน อ.บ้านตากได้รับความเดือดร้อนจากน้ำในแม่น้ำปิง 20 หมู่บ้าน ทำให้เดือดร้อนหนักน้ำท่วมสูง 1 เมตร รถยนต์ไม่สามารถสัญจรไปมาได้ ต้องใช้เรือในการขนส่งน้ำดื่มและอาหารให้กับประชาชนในหมู่บ้านต่าง ๆ

ขณะที่คอสะพานก็ได้รับความเสียหายเช่นเดียวกัน คาดว่าสถานการณ์น้ำท่วมจะคงอยู่อีก 2-3 วัน เนื่องจากเขื่อนภูมิพลได้ปล่อยน้ำต่อเนื่องแต่ระดับน้ำเริ่มทรงตัวตอนนี้สถานการณ์ตอนนี้ถือว่ายังรับมือได้

นายศิริชัย แสงสุวรรณ ผู้ช่วยผู้อำนวยการเขื่อนภูมิพล-ปฏิบัติการทำการแทนผู้อำนวยการเขื่อนภูมิพล เรียกประชุมเจ้าหน้าที่บริหารจัดการน้ำ และเจ้าหน้าที่กองเดินเครื่อง เพื่อหาทางลดการระบายน้ำลง เนื่องจากที่ผ่านมา 3 วัน ได้ระบายน้ำออกมา สร้างความเดือดร้อนผู้อาศัยอยู่ใต้เขื่อนเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังเตรียมรับมือพายุลูกใหม่ ที่อาจจะส่งผลกระทบกับการกักเก็บน้ำของเขื่อนภูมิพล

สภาพน้ำท่วม...

“อยุธยา”จมบาดาล-สาย”เอเชีย”อัมพาต


สำหรับสถานการณ์น้ำท่วมใน จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 6 ต.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังจากเมื่อคืนวันที่ 5 ต.ค.ที่ผ่านมาพายุฝนได้เทกระหน่ำลงมาอย่างหนักชนิดไม่ลืมหูลืมตาเป็นเวลานานหลายชั่วโมง ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้น หลายอำเภอ ทำให้ในช่วงเช้าถนนสายเอเชีย ขาออก ที่จะมุ่งหน้าขึ้นสู่ภาคเหนือ แน่นขนัดไปด้วยรถยนต์นานาชนิด เนื่องจากถนนบางช่วงถูกน้ำท่วมเป็นระยะ ๆ จนต้องเหลือถนนแค่ 2 เลน จาก 3 เลน

ประกอบกับถนนสายเอเชียฝั่งตรงข้าม ขาเข้า ซึ่งถนนเลนซ้ายสุดจะวิ่งไม่ได้เพราะโดนน้ำท่วม เลยทำให้เหลือแค่ 2 เลน รถยนต์ที่จะมุ่งหน้าเข้ากรุงเทพ พอเจอข้างหน้าถูกน้ำท่วมสูง คนขับเลยเปลี่ยนใจเลี้ยวหันรถกลับ เลยยิ่งทำให้รถทั้งฝั่งขาเข้ากับขาออกติดขัดยาวหลายกิโล กลายเป็นอัมพาตในทันที

ขณะเดียวกันที่เรือนจำกลางจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ผู้สื่อข่าวรายงานว่าระดับน้ำได้สูงถึง 1 เมตรหรือเท่ากับเอว เจ้าหน้าที่เลยได้เร่งขนย้ายนักโทษจำนวน 1700 คน โดยใช้วิธีใส่กุญแจมือลอยคอออกมาจากเรือนจำทีละ 2 คน เพื่อนำไปส่งยังเรือนจำจังหวัดต่าง ๆ 7 แห่ง โดยมีเจ้าหน้าที่เล็งปืนยาวเพื่อป้องกันไม่ให้นักโทษดำน้ำหนี ซึ่งกว่าจะขนย้ายนักโทษหมดเป็นไปด้วยความทุลักทุเล.

ด้านนายวิทยา บุรณศิริ รมว.สาธารณสุข ในฐานะที่ได้รับมอบหมายจากนายกฯ ให้ดูแลพื้นที่น้ำท่วม จ.พระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า ขณะนี้สถานการณ์น้ำท่วมใน จ.พระนครศรีอยุธยา วิกฤติหนัก โดยมีบางพื้นที่ที่เป็นของภาคเอกชนหลายจุดที่ค่อนข้างจะไม่ปฏิบัติตามคำเตือนของทางราชการ ดังนั้นจะต้องเร่งรัดให้มีการเสริมแนวป้องกันให้สูงขึ้น เพราะอีก 50 เซนติเมตรก็ไม่ปลอดภัยแล้วต้องเสริมเป็นเมตร อาทิ นิคมอุตสาหกรรมไฮเทค บางปะอิน และโรจนะ รวมทั้งนวนครด้วย เพื่อจะได้ไม่เกินปัญหาเหมือนนิคมอุตสาหกรรมสหนวนคร ซึ่งตอนนี้ได้มีการเตือนภัยไปแล้ว

รมว.สาธารณสุข กล่าวต่อว่า ล่าสุดได้สั่งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเตรียมมาตรการอพยพ ขณะเดียวกันทางภาคเอกชน คือ นายชาตรี พูนคุปวาณิชย์ ซึ่งเป็นเพื่อนของตนได้จัดอาคารพาณิชย์จำนวน 100 คูหาจะคนได้ประมาณ 1,000 ครอบครัว บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อให้พี่น้องประชาชนที่เดือดร้อนได้อาศัย ขณะเดียวกันได้ให้ใช้พื้นที่ตลาดบริเวณสี่แยกวัดพยาธิ เป็นจุดดูแลอาหารสดเพื่อปรุงอาหารให้ประชาชนรับประทาน

นายวิทยา กล่าวด้วยว่า ผลกระทบจากน้ำท่วมขณะนี้ได้รับรายงานว่า ที่ อ.บางปะหัน น้ำท่วมสูงจากพื้น 30-40 เซนติเมตร และเพิ่มขึ้นชั่วโมงละ 1 เซนติเมตร ไม่สามารถให้บริการผู้ป่วยได้ จึงจำเป็นต้องปิดให้บริการผู้ป่วยนอก ฉุกเฉิน และผู้ป่วยในชั่วครว โดยได้มีการย้ายผู้ป่วยที่นอนรักษาตัวอยู่ใน รพ. 17 รายไปรักษาต่อที่ รพ.อื่น อย่างไรก็ตามได้ระดมหน่วยแพทย์จาก รพ.วชิระภูเก็ตจำนวน 2 ทีมไปตั้ง รพ.สนาม 2 แห่ง ที่บริเวณปั๊มน้ำมัน ปตท. ระหว่าง รพ.บางประหันกับทางเข้าที่ว่าการอำเภอบางปะหันและจุดที่ 2 ต.บางขวาง อ.มหาราช

ขณะที่นางมณฑา ประณุทนรพาล ผู้ว่าการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ กนอ. ได้แจ้งเตือนผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน และนิคมฯ บ้านหว้า (ไฮเทค) จ.พระนครศรีอยุธยา ให้เตรียมความพร้อมรับมือกับภัยน้ำท่วมตลอด 24 ชั่วโมง เนื่องจากทั้งสองนิคมฯ ที่มีโรงงาน 233 ราย มูลค่าลงทุนรวม 125,312 ล้านบาท จ้างงานรวม 111,186 คน อยู่ในสถานการณ์น่าเป็นห่วง เพราะระดับน้ำขึ้นสูงอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว แต่น้ำยังไม่สามารถเข้าในพื้นที่นิคมฯหลังจากผู้เกี่ยวข้องมีการป้องกันอย่างเต็มที่

สำหรับนิคมฯ บางปะอิน เป็นนิคมฯ ร่วมดำเนินงานระหว่าง กนอ. กับบริษัทที่ดินบางปะอิน จำกัด เริ่มก่อตั้งเมื่อปี 2532 ตั้งอยู่ในพื้นที่ อ.บางปะอิน พื้นที่โครงการรวม 1,962 ไร่ ซึ่งมีโรงงานทั้งสิ้น 90 ราย จำนวนแรงงานทั้งหมด 60,000 คน มูลค่าลงทุน 60,000 ล้านบาท ประเภทอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องมือวิทยาศาสตร์,อุตสาหกรรมยาง พลาสติก เป็นต้น

ส่วนนิคมอุตสาหกรรมบ้านหว้า (ไฮเทค) เป็นนิคมฯ ร่วมดำเนินงานระหว่าง กนอ. กับบริษัท ไทยอินดัสเตรียลเอสเตท จำกัด เริ่มก่อตั้งเมื่อปี 2532 ตั้งอยู่บริเวณถนนสายเอเซีย-นครสวรรค์ อ.บางปะอิน พื้นที่โครงการรวม 2,379 ไร่ มีโรงงานทั้งหมด 143 ราย มีแรงงานทั้งสิ้น 51,186 คน มูลค่าลงทุน 65,312 ล้านบาท ประเภทอุตสาหกรรมประเภทอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องมือวิทยาศาสตร์, อุตสาหกรรมยาง พลาสติก เป็นต้น

“สถานการณ์น้ำท่วมเฉียบพลันในพื้นที่นิคมฯ สหรัตนนคร ซึ่งน้ำเริ่มเข้าท่วมภายในนิคมฯ ตั้งแต่วันที่ 4 ต.ค. ที่ผ่านมา ปริมาณน้ำท่วมสูงในพื้นที่ 2-3 เมตร โรงงานในพื้นที่ได้รับผลกระทบทั้งหมด 43 ราย ประมาณการณ์มูลค่าความเสียหายในพื้นที่กว่า 30,000 ล้านบาท ซึ่งตอนนี้ผู้ประกอบการต้องปิดโรงงานก่อน 5 วัน หรือจนกว่าปริมาณน้ำจะลดลง” นางมณฑา กล่าว

ทั้งนี้นิคมฯ สหรัตนนคร เป็นนิคมฯ ร่วมดำเนินงานระหว่าง กนอ. กับบริษัท สหรัตตนนคร จำกัด เริ่มก่อตั้งเมื่อปี 37 ตั้งอยู่อำเภอนครหลวง พื้นที่โครงการรวม 2,050 ไร่ พัฒนาในระยะแรก 1,441 ไร่ ซึ่งมีโรงงานทั้งสิ้น 43 ราย จำนวนแรงงานทั้งสิ้น 14,696 คน มูลค่าการลงทุน 9,472 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป้นประเภทอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องมือวิทยาศาสตร์, อุตสาหกรรมยาง พลาสติก เครื่องหนัง เครื่องแต่งกาย เป็นต้น สัดส่วนการลงทุน ญี่ปุ่น 70% ไทย 20% และอื่น ๆ 10%

ต่อมาเมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 6 ต.ค. ทางด้านกองบินตำรวจได้นำถุงยังชีพขึ้นเฮลิคอปเตอร์จากกองบินตำรวจรามอินทรา เพื่อนำสิ่งของช่วยเหลือไปให้ผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่เทือกเขาสมอคอ ตำบลเขาสมอคอ อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี โดยมีประชาชนทยอยมารับของกันอย่างต่อเนื่อง.

รวบแล้วนศ.บุกเดี่ยว ปล้นแบงก์ในม.หอการค้า




ช่วงเช้าวันที่ 7 ต.ค. มีรายงานข่าวว่า พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบช.น. เตรียมแถลงการจับกุมผู้ต้องหาคดีจี้ชิงทรัพย์ ธ.กรุงเทพ สาขาย่อย ใน ม.หอการค้าไทย เวลาประมาณ 10.00 น.วันนี้ จากนั้นจะควบคุมตัวไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพต่อไป โดยผู้ต้องหารายนี้เบื้องต้นมีข้อมูลว่าเป็นนักศึกษา ม.หอการค้าไทย สารภาพว่า ตัดสินใจปล้นแบงก์เพื่อนำเงินไปจ่ายค่าเทอมของตนกับแฟนสาว และหาเงินใช้หนี้ ก่อนถูกจับไปกบดานอยู่ที่เกาะล้าน จ.ชลบุรี

สำหรับคดีนี้เกิดขึ้นเมื่อเวลา 16.50 น. วันที่ 1 ต.ค. พ.ต.ท. ธนภัทร สุขมี สบ.2 ส.สุทธิสาร รับแจ้งเหตุคนร้ายบุกเดี่ยวชิงทรัพย์ ภายในธนาคารกรุงเทพ สาขาย่อย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย จึงรุดตรวจสอบพร้อมพ.ต.อ.ไพศาล วงศ์วัชระมงคล ผกก. พล.ต.ต.อิทธิพล พิริยะภิญโญ รองผบช.น. พล.ต.ต.ดำรงค์ศักดิ์ กิตติประภัสสรณ์ ผบก.น.2 พ.ต.อ. สันติ ชัยนิรมัย ผกก.สส.2 ที่เกิดเหตุบริเวณชั้นล่าง อาคาร 7 หรืออาคารสมาคมศิษย์เก่า มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย บริเวณเคาน์ เตอร์ธนาคาร พบพนักงานสาวของธนาคารนั่งอยู่ด้วยอาการตกใจ

พนักงานธนาคารให้การว่า ก่อนเกิดเหตุเป็นช่วงที่กำลังเกิดฝนตกหนักภายในธนาคารมีพนักงานอยู่ 3 คน ขณะนั้น ปรากฏคนร้ายเป็นชายไทยวัยรุ่นอายุประ มาณ 20 ปี รูปร่างสันทัด ผิวสองสี สวมเสื้อยืดสีดำ นุ่งกางเกงยีนส์ ตัดผมรองทรง ถือซองเอกสารขนาด เอ 4 เข้ามาหาที่เคาน์ เตอร์ พร้อมยื่นเอกสารเขียนข้อความด้วยลายมือว่า "ขอโทษ เอาเงินใส่ถุง อยู่นิ่งๆ ไม่งั้นผมยิง" จากนั้นชักปืนพก ชนิดลูกโม่ไม่ทราบขนาดออกมาขู่ ก่อนจะพูดว่า "ผมป่วย ต้องการเงินไปรักษา" จึงนำเงินที่อยู่ในลิ้นชักประมาณ 6.5 แสนบาทใส่ถุงไป จากนั้นคนร้ายเดินออกประตูไป โดยใช้เวลาทั้งสิ้นประมาณ 10 นาที

ต่อมาเวลา 18.00 น. นายวิชัย เกรียงชัยพฤกษ์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารกลุ่มสาขาไมโคร ธนาคารกรุงเทพ พร้อมผศ.ดร.วันชัย รัตนวงษ์ รองอธิการบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ร่วมกันแถลงข่าว

นายวิชัย กล่าวว่า เหตุเกิด 16.50 น. ขณะเกิดเหตุมีพนักงาน เป็นผู้หญิง 3 คน คนร้ายเข้าประตูด้านข้าง สวมเสื้อยืดสีดำนุ่งกางเกงยีนส์ ใช้ผ้าอนามัยปิดปากจากนั้นทำทีเป็นมาทำธุรกรรมทางการเงิน โดยเขียนนำฝากว่า "ขอโทษนะ เอาเงินใส่ถุง แล้วนั่งอยู่นิ่งๆ ไม่งั้นผมยิง" บอกว่า มีปืน และต้องการเอาเงินไปใช้รักษาเพราะป่วยอยู่ จากนั้นกระโดดข้ามเคาน์เตอร์ ใช้ปืนจี้บัง คับพนักงานธนาคาร พนักงานจึงหยิบเงินในลิ้นชัก และตู้เซฟด้านหลังเคาน์เตอร์ให้ไป ประมาณ 6.5 แสน ก่อนหลบหนีออกไปทางประตูหน้า

ด้านผศ.ดร.วันชัย กล่าวว่า วันเดียวกันนี้เป็นวันหยุดของมหาวิทยาลัย แต่มีกิจกรรมติวเด็กนักเรียนมัธยมของบริษัทสหพัฒน์ ทำให้มีคนภายนอกเข้าในพื้นที่จำนวน มาก โดยธนาคารยังเปิดให้บริการตามปกติ โดยเปิดตั้งแต่เวลา 09.30-18.00 น. โดยไม่มี รปภ.ของธนาคาร เนื่องจากอยู่ในพื้นที่มหา วิทยาลัย คนร้ายเลือกลงมือในเวลาที่ธนาคารใกล้ปิด มีคนอยู่ไม่มาก คาดว่าคนร้ายน่าเป็นบุคลภายนอก จากเครื่องแต่งกาย เนื่องจากหากเป็นนักศึกษาที่แต่งกายไม่สุภาพ รปภ. จะไม่ให้เข้าในพื้นที่มหาวิทยาลัยเด็ดขาด เบื้องต้นจะนำภาพที่ได้จากกล้องวงจรปิดมาตรวจสอบกับฐานข้อมูลนักศึกษาว่า มีตรงกับคนร้ายหรือไม่

ต่อมา พล.ต.ต.อิทธิพล พิริยะภิญโญ รอง ผบช.น. เปิดเผยว่า หลังเกิดเหตุได้ดูภาพจากกล้องวงจรปิดแล้วพบว่าเป็นชายสูงประมาณ 165 เซนติเมตร หลังจากนี้ได้มอบหมายให้ ผบก.น.2 คุมคดีนี้เองโดยสั่งการให้ตรวจสอบเส้นทางหลบหนีพร้อมแผนประทุษกรรมต่อไปว่า คนร้ายลงมือก่อเหตุเพียงลำพัง หรือมีใครมารับออกจากมหา วิทยาลัยไปหรือไม่ เบื้องต้นเชื่อว่าคนร้ายเป็นมือใหม่ เพราะภาพวงจรปิดบันทึกภาพขณะคนร้ายเดินวนเวียนอยู่ในมหาวิทยาลัยเพื่อตัดสินใจก่อนก่อเหตุนานเกือบ 20 นาที หากเป็นคนร้ายมืออาชีพ ไม่น่าที่จะเขียนข้อความด้วยลายมือของตัวเองยื่นให้พนักงานธนาคาร ส่วนความคืบหน้าทางคดีขอเวลาให้ตำรวจทำงานอีกสักระยะ ขณะนี้กำลังตามหาพยานบุคคลเพิ่มเติม และรีบนำหลักฐานเป็นลายนิ้วมือแฝงส่งไปตรวจสอบที่กองพิสูจน์หลักฐาน คาดว่าในวันที่ 2 ต.ค. พนักงานสอบสวนน่าจะออกหมายจับตามภาพที่กล้องวงจรปิดบันทึกไว้ได้ก่อนติดตามตัวคนร้ายมาดำเนินคดีต่อไป

วันพุธที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2554

การตรวจเช็ครถยนต์ ..หลังน้ำท่วม,รถจมน้ำ


แรกทีเดียว อย่าพยายามรีบร้อนติดเครื่องยนต์รถที่เพิ่งเอาขึ้นจากน้ำหรือน้ำลดลงไปจากการท่วมมิดเครื่องยนต์เป็นอันขาด? เพราะน้ำที่อัดอยู่ในเครื่องยนต์อาจจะทำให้ก้านสูบกับก้านกระทุ้งวาล์วในกรณีที่เป้นรถโบราณเช่นโฟล์กสวาเกน? เต่าทองนั้น? คดงอได้เลยทีเดียว?

อย่าพ่วงไฟเพื่อติดเครื่องยนต์รถที่ไหม่กว่ารุ่นปี ค.ศ. 1989? หรือ พ.ศ. 2532? ขึ้นมา? ด้วยว่านั้นจะเปิดโอกาสให้แอลเทอร์เนอเตอร์ซึ่งมักจะเรียกกันง่าย ๆ ว่า ไดชาร์จ? และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์นานาประดามีในรถไหม้เสียหายได้

ก่อนที่จะเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่? หรือเอาแบทเตอรี่ไปอัดไฟให้เต็มอีกทีแล้วเอามาใช้? หรือพูดให้ชัดก็ได้ว่า? ต่อขั้วแบตเตอรี่เข้ากับรถอีกครั้งหลังจากพ้นน้ำแล้วนี่? ปลดฟิวส์ของระบบถุงลมนิรภัยเพื่อไม่ให้ทำงานขึ้นมาได้ในระยะแรกนี้ก่อน? ด้วยว่าถ้าวงจรไฟฟ้าในระบบถุงลมนิรภัยเกิดลงดินหรือชอร์ตกันได้แล้วล่ะก็? ถุงลมระเบิดตูมแบบว่าทำงานให้ใช้ได้ขึ้นมาเฉย ๆ เสียของไปเปล่าๆ หลายหมื่นทีเดียวนะครับ

ปกติเมื่อรู้ว่ารถจะจมน้ำ? เราก็ควรถอดสายไฟยกแบตเตอรี่ขึ้นที่สูงบนบ้านบนเรือนก่อน? ถ้าทำไม่ทันแบตเตอรี่จมน้ำอยู่ก็จะหมดไฟไปก่อนที่จะเข้าทำให้เกิดกระแสลัดวงจรทที่เสียหายเพราะน้ำได้? แต่เมื่อน้ำแห้งแล้ววงจรอาจจะลงดินอยู่? มีกระแสเข้าไปเมื่อไรลัดวงจรเมื่อนั้น? จึงควรรีบถอดสายแบตเตอรี่ออกทันทีที่รถพ้นน้ำ? ถ้าไม่ได้เอาแบตเตอรี่ออกไปเสียก่อน? โดยเฉพาะรถที่ตกน้ำลงไปโดยไม่ได้ตั้งใจนั่น

ทีนี้? เมื่อปล่อยให้วงจรอุปกรณ์หลายอย่างแห้งแล้ว? ก็ปลดฟิวส์ของวงจรที่มั่นใจได้ออกเสียก่อน? เช่นวงจรถุงลมนิรภัยเป็นต้น

ตรวจรถยนต์ที่เพิ่งพ้นน้ำของคุณให้ถี่ถ้วน? ถ้าพบน้ำในที่เขี่ยบุหรี่? ก็เชื่อเอาไว้ก่อนว่า? น้ำคงเข้าไปถึงระบบไฟฟ้าบนหน้าปัด? เช่น? มาตรมัดต่าง ๆ และสวิตช์ได้??? และดดยที่วงจรเหล่านี้มักจะทำเป้นแผงจึงสามารถทำความสะอาดและแห้งเอามาใช้ได้ใหม่อีก? แต่ตามที่ปรากฏกันมาก็คือคุณมักจะพบปัญหาของวงจรในการใช้งานต่อไปภายหน้า? และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่จมน้ำหรือเปียกน้ำนี้? อายุการใช้งานหลังจากนั้นจะค่อนไปทางข้างสั้น

อย่าไปหวังอะไรให้มากนักเลยครับ? นอกเสียจากจะเปลี่ยนกันใหม่หมด? แพงอีกใช่ไหมล่ะ

เกียร์อัตโนมัติกับทอรืกคอนเวิร์ตเตอร์? ต้องได้รับการล้างเอาน้ำมั่นและน้ำออกให้หมด? เช่นเดียวกับเฟืองท้าย? หรือส่วนมากในตอนนี้จะไปอยู่ข้างหน้าแล้ว? กับพวกทรานสเฟอร์ของระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ? ด้วยว่าทั้งสองอย่างนี้มีรูระบายอากาศน้ำจึงเข้าไปทางนั้นได้? ก็ต้องทำอย่างเดียวกับเกียร์อัตโนมัติ

เพลาขับที่ยางหุ้มเพลาขาด? น้ำจะเข้าไปนำเอาจารบีออกไป? ต้องอัดจารบีใหม่และเปลี่ยนยางหุ้มเพลาด้วย

อีกอย่างหนึ่งที่มองข้ามไม่ได้? เมื่อตรวจเกี่ยวกับระบบส่งกำลังนี่คือ ลูกปืนล้อทั้งหน้าและหลังที่มีอยู่ในรถทั่วไป?? ต้องนำออกมาล้างอัดจารบีใหม่? ใส่กลับคืนที่ด้วยการปรับใหม่ให้แน่นตามลำดับไม่แน่นเกินไปจนล้อหมุนฝืด

ล้างและเปลี่ยนน้ำระบายความร้อน? เอาโคลนเลนที่ติดอยู่ตามรังผึ้งหม้อน้ำออกให้หมด? ใส่น้ำยาลดความร้อน? หล่อลื่น? และรักษาโลหะลงผสมในน้ำระบายความร้อนใหม่อีกครั้งให้ได้ตามลำดับที่กำหนด

การกำหนดอัตราส่วนผสมน้ำยากับน้ำในระบบระบายความร้อนนี้ที่กระป๋องหรือขวดน้ำยาจะมีบอกชัดเจน? ถ้าเป็นฟอร์ดก็จะมีป้ายบอกไว้ที่ระบบหรือหม้อน้ำสำรอง? โดยให้ใช้น้ำยาของฟอร์ด? 50 %? กับน้ำสะอาด? 50 %?? เป็นต้น

การใช้น้ำยาสีเขียว? ราคาประหยัด? ใส่เพียงกระป๋องเดียวหกเจ็หดสิบบาทนั่น? ช่วยอะไรทางด้านการลดความร้อนและการสึกกร่อนของอะลูมิเนียมผสมในเครื่องยนต์ไม่ได้หรอกครับ? เรื่องแบบนี้ไม่ควรประหยัดเพราะจะเป็นการเสียน้อยเสียยากเสียมากเสียง่าย? เมื่อถึงเวลาต้องซ่อมเครื่องยนต์ด้วยค่าใช้จ่ายหลาย ๆ หมื่นบาท

อย่างน้อยก็ต้องล้างทำความสะอาดภายนอกของระบบห้ามล้อเปลี่ยนน้ำมันเบรก? และหากแช่น้ำอยู่นานก็อาจจะต้องถึงขนาดซ่อมใหญ่เบรกทั้งระบบกันเลยก็ว่าได้? ตรงนี้ไม่ต้องถึงรถจมน้ำทั้งคันหรอกครับ? แค่แช่อยู่ทั้งวันลึกท่วมล้อเท่านั้นก็ได้เรื่องแล้ว

รถกระบะหนึ่งตันที่ชอบลุยน้ำลึก? เพราะเห็นว่าเครื่องยนต์ดีเซล ไม่มีระบบไฟฟ้าจุดระเบิด? ไม่ต้องกลัวน้ำเข้าระบบไฟฟ้าแล้วเครื่องดับนั้น? ถ้าน้ำเข้าเครื่องก็เสร็จเหมือนกัน? หนักกว่ารถเบนซินด้วยซ้ำไป??? และเมื่อลุยน้ำลึกมากบ่อยเข้า? น้ำก็เข้าไปในระบบห้ามล้อจนเกิดนิม? และน้ำมันเบรกเน่าเสียไปจนห้ามล้อไม่อยู่ได้นะครับ? อย่าทำเป็นล่นไป

อันตรายไม่ได้น้อยก่าเขาอื่นหรอก? ถึงจะขับพ้นตรงที่น้ำท่วมได้ด้วยความเร็วจนน้ำกระจายเป็นปีกไปสาดรถอื่นเขาได้สนุกดีนั่นน่ะ??? เผลอ ๆ เป็นไข้สารตะกั่วเอาแถวนั้นเลยก็ยังเคยมี

ของที่จมน้ำแล้วอาจจะต้องถึงกับเปลี่ยนเลยทีเดียวก็คือสตาร์ตเตอร์? เพราะน้ำเข้าไปนี่ฝรั่งบอกว่าซ่อมยากเสียเวลา? แต่บ้านเราคงเอาไปให้ช่างไฟฟ้าตามร้านทั่วไปล้างทำความสะอาด? ตรวจเช็กและปรับสภาพใช้ใหม่ได้? ไม่ต้องกับถึงกับต้องเปลี่ยนใหม่? แต่ต้องเอาออกมาทำแน่นอนถ้าจมน้ำครับ

มาถึงตรงนี้? ที่หนักอีกอย่างคงจะเป็นพวกมอเตอร์ไฟฟ้าของกระจกไฟฟ้า? ที่นั่งปรับไฟฟ้า? และเสาอากาศไฟฟ้า? ตรงนี้อาจถึงกับต้องเปลี่ยนเพราะซ่อมยากไปก็ได้ครับ? หลายสตางค์อยู่เหมือนกัน? เพราะฉนั้นอย่าเที่ยวได้ขับรถลงไปแช่น้ำเล่น? ไม่สนุกเลยเมื่อขึ้นมาได้

หมดพวกราคาแพงและเป้นปัญหาได้มาก? ก็ถึงส่วนที่มีปัญหาได้ในระดับรองลงมา? จะเปลี่ยนหรือซ่อมก็ต้องตรวจสภาพกันดูทุกส่วน? อย่าวางใจละเว้นละเป็นดี

เริ่มที่แผ่นคลัตช์? จานคลัตช์? ลูกปืนคลัตช์? บางทีพอน้ำแห้งอาจจะทำท่าว่าใช้งานได้เหมือนเดิม? ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้เท่าไรนัก? ใช้ไปไม่เท่าไรมักจะมีเสียง? และเริ่มแสดงอาการของปัญหาเกียร์เข้ายากขึ้นมาให้พบได้เสมอ

แร็กพวงมาลัย? โดยเฉพาะพวกของพาวเวอร์ก็เป็นอีกอย่างหนึ่งทที่ต้องตรวจเช็ก? แม้จะเป็นความเป็นไปได้ที่จะเสียหายเป็นรองของที่บอกมาแล้วในตอนต้น? ก็มีโอกาสเสียหายได้? รวมทั้งช็กอัพตัวยาวตัวสั้นที่ใช้มานานก่อนหน้ารถจมน้ำ? ชีลกันน้ำหลวมแล้ว? น้ำเข้าได้นะครับ? ควรเปลี่ยนถ้าพบความผิดปกติหรือไม่น่าไว้วางใจ

รีเลย์? เซ็นเซอร์ต่าง ๆ สวิตช์ไฟ? และกล่องฟิวส์ก็ต้องได้รับการตรวจเช็กให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรเสียหาย?? ยังทำงานได้ดี? โดยเฉพาะกล่องฟิวส์ต้องลงดินได้ดีเช่นเดิมถ้าเกิดมีการจมน้ำอยู่ระยะหนึ่ง? เอาแค่วันเดียวหรือหลายชั่วโมงก็ไม่ดีแล้วนะครับ

จานจ่ายนี่ก็ตัวดี? ถ้าเป็นแบบใช้ทองขาวยังไม่เท่าไร?? แต่เบรกทรานซิสเตอร์ขึ้นมานี่? บางทีถึงต้องเปลี่ยนกันเลยทีเดียว? เพราะต่อไปมักทำให้เครื่องยนต์สั่นโดยไม่ทันนึกว่ามาจากตัวนี้ได้

แผงวงจรที่ผมว่าไว้ตอนแรกนั้น? พอจะล้างได้ด้วยน้ำซึ่งทำการ DEIONIZED?? จากนั้นก็เอาไปอบที่ความร้อน? 120? องศาฟาเรนไฮต์สัก? 30? นาที? แล้วพ่นด้วยสเปรย์แล็กเกอร์เคลียร์ก่อนจะนำมาใช้ใหม่? ซึ่งก็ยังไม่แน่นักว่าจะทนทานต่อไปได้สักเพียงไร? โชคดีก็รอดตัว

คลัตช์ของแอร์คอมเพรสเซอร์ควรได้รับการตรวจเช็กว่าใช้การได้หรือไม่

ดวงไฟฟ้าหน้ารถก็อย่ามองข้าม? น้ำอาจจะเข้าไปค้างอยู่? เอาออกเสียให้หมดก่อนที่จานจ่ายจะกลับบ้านเก่าเพราะน้ำทำเหตุ

จับ นศ.หนุ่ม แค้น อดีตแฟนสาว ขอเลิกคบและตีตัวออกห่าง โพสต์คลิป ขณะร่วมรักกับอดีตแฟนสาว


วันนี้(5 ต.ค.)เมื่อเวลา 20.00 น. ที่กองกับการสวัสดิภาพเด็กเยาวชนและสตรี(กก.ดส.บช.น.) พ.ต.ท.ศยาม อินทร์สุวรรณโณ สว.งานสืบสวน กก.ดส.บช.น.พร้อมด้วย ร.ต.อ.กิตติเมศร์ โชติปิติเจริญรัฐ รอง สว.กก.ดส.บช.น. แถลงข่าวจับกุมนายณัฐพล หรือแบงก์ ชุณหสวัสดิกุล อายุ 20 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 2 คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งย่านธนบุรี ผู้ต้องหาเผยแพร่คลิปมีเพศสัมพันธ์ และภาพตัดต่อ น.ส.จุ๊บ (นามสมมุติ) อายุ 22 ปี นักศึกษามหาวิทยาลัยชื่อดังอีกแห่งหนึ่งย่านหนองแขม ซึ่งเป็นอดีตแฟนสาวลงเว็บไซต์ลามกอนาจาร เพื่อล้างแค้นที่ฝ่ายหญิงตีตัวออกห่าง โดยสามารถจับกุมได้พร้อมของกลาง วีซีดีคลิปร่วมเพศระหว่างผู้ต้องหากับ น.ส.จุ๊บ จำนวน 1 แผ่น ภาพตัดต่อลามกอนาจาร 42 ภาพ ข้อความข่มขู่ที่ส่งเข้าโทรศัพท์มือถือ 1 แผ่น
      
       พ.ต.ท.ศยาม เปิดเผยว่า การจับกุมดังกล่าวสืบเนื่องจาก น.ส.จุ๊บ ผู้เสียหายได้เข้าแจ้งความ ที่กก.ดส.บช.น. เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่าถูกนายณัฐพล ซี่งเป็นอดีตแฟนหนุ่ม นำคลิประหว่างมีเพศสัมพันธ์ไปเผยแพร่ในเว็บไซต์ ทำให้เกิดความเสื่อมเสีย โดยผู้ต้องหายังนำข้อมูลส่วนตัว ทั้งชื่อ และเบอร์โทรศัพท์ไปโพสลงไปด้วย ทำให้คนที่เข้าไปดูเว็บไซต์เกิดความเข้าใจผิดโทรศัพท์เข้ามาขอมีเพศสัมพันธ์ กับผู้เสียหาย
      
       พ.ต.ท.ศยาม กล่าวอีกว่า จากการสืบสวนทราบว่านายณัฐพลผู้ต้องหาได้นำคลิปดังกล่าวไปโพสในเว็บไซต์ลามก แห่งหนึ่งจริง และมีภาพตัดต่อใบหน้าไปใส่ภาพลามกอนาจารโพสลงในเวป 4share.com อีกจำนวนหลายภาพ และยังมีข้อความข่มขู่ในโทรศัพท์มือถืออีก 8 ข้อความ ซึ่งเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจาก น.ส.จุ๊บ ได้เลิกคบกับผู้ต้องหาได้ประมาณ 5 เดือน ทำให้ผู้ต้องหาเกิดความโกรธแค้น
      
       พ.ต.ท.ศยาม กล่าวด้วยว่า หลังสืบทราบข้อมูลประกอบกับผู้ต้องหายังโทรศัพท์มารังควานผู้เสียหาย เจ้าหน้าที่จึงวางแผนจับกุม เนื่องจากผู้ต้องหาข่มขู่ว่าหากต้องการให้ลบคลิปให้มาร่วมประเวณีอีก 1 ครั้ง ซึ่งผู้ต้องหาได้นัดหมายผู้เสียหายมาพบที่ โรงแรมเดอะมอนทานาลอดจ์ ซ.จันทร์ 47 ห้อง 809 เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงไปเฝ้าที่หน้าโรงแรม โดยให้เวลาผู้เสียหายกับผู้ต้องหาตกลงกันก่อน จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจสอบห้องพักดังกล่าว ซึ่งผู้เสียหายก็ชี้ตัวยืนยันว่านายณัฐพลเป็นผู้ต้องหา
      
       จากการสอบสวนนายณัฐพล ให้การรับสารภาพว่า ได้ถ่ายคลิปดังกล่าวจริง และเป็นผู้โพสต์ภาพตัดต่อลงอินเตอร์เน็ตจริง ส่วนคลิปได้ส่งทางโทรศัพท์มือถือให้เพื่อนต่อๆกันไป ไม่รู้ว่าใครไปโพสต์ต่อ ที่ทำลงไปเพราะด้วยความโกรธแค้นที่อดีตแฟนสาวเลิกคบ และหลอกลวงเงินไปร่วมหมื่นบาท สาเหตุที่ทำต้องการแก้แค้นทำให้อับอายจึงได้ทำเรื่องดังกล่าวขึ้น โดยไม่คิดว่าจะส่งผลต่ออนาคตของตัวเอง
      
       ด้าน น.ส.จุ๊บ กล่าวว่า ที่คบกันมา 2ปี ไม่รู้มาก่อนว่าถูกถ่ายคลิปขณะร่วมเพศกัน เพราะคิดไม่ถึงว่าเขาจะกล้าถ่ายไว้จริง และหลังจากเลิกกันมา เขาก็จะส่งข้อความมาข่มขู่ตลอดว่าจะส่งคลิปเป็นน้ำจิ้มมาให้ดูถ้าไม่ยอมคืน ดี ตนก็ยังคิดว่าคงขู่เฉยๆ กระทั่งมีโทรศัพท์เข้ามาหา ทั้งต่างชาติและคนไทยจำนวนมาก มาขอซื้อบริการและร่วมหลับนอน โดยบอกว่าเห็นโพสโฆษณาทางเว็บไซต์
      
       “ตอนแรกที่หนูรู้เรื่องรู้สึกช็อกมาก ไม่คิดว่าเขาจะกล้าทำกับหนูขนาดนี้ เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้เสื่อมเสียอับอายมาก เพื่อนรอบข้างก็มาบอกหนู และยังเคยไปโพสในเฟสบุ๊คของหนูว่าต้องการสวิงกิ้งด้วย และเรื่องนี้หนูก็ให้ครอบครัวรู้เรื่องไม่ได้ หนูเครียดจนแทบจะฆ่าตัวตาย ” น.ส.จุ๊บ กล่าว
      
       เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหานายณัฐพล จำนวน 3 ข้อหาได้แก่ ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใดหรือจำยอมสิ่งใด โดยทำให้กลัวและจะเกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกายเสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจหรือของผู้อื่น หรอโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้นหรือจำยอมต่อสิ่งนั้น ,นำเข้าสู่คอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลที่มีลักษณะลามกและข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้น ประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ และ ข้อหานำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่ประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงซึ่งข้อมูล คอมพิวเตอร์ที่ปรากฏเป็นภาพของผู้อื่น และภาพนั้นเป็นภาพที่เกิดจากการสร้างขึ้น ตัดต่อ เติม หรือดัดแปลงด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิก หรือวิธีการอื่นใดทั้งนี้ โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย ซึ่งเจ้าหน้าที่จะควบคุมตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน สน.วัดพระยาไกร ดำเนินคดีตามกฏหมายต่อไป

ห้ามพระเกษม นุ่งห่มจีวร-เรียกตัวเองอาตมา ลั่น!! ครบ 3วัน จับสึกทันที...





ขณะนี้คณะสงฆ์ตัดขาดพระเกษม อจิณฺณสีโส จึงถือว่าไม่ได้เป็นพระสงฆ์แล้ว ห้ามเรียกตัวว่าอาตมา หรือนุ่งห่มแบบพระสงฆ์ หลังเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนำคำสั่งเจ้าคณะจังหวัดอุดรธานี ไปติดประกาศแจ้งให้ละสมณเพศภายใน 3 วัน นับตั้งแต่วันที่ 3 ต.ค.แล้ว ซึ่งหากครบกำหนดยังไม่ยอมสึกทางฝ่ายกฎหมายบ้านเมืองต้องเข้าไปดำเนินการ
นาย นพรัตน์ กล่าวต่อว่า พระเกษมกระทำผิดพระธรรมวินัยเป็นอาจิณ แม้ไม่รุนแรง แต่กระทบความศรัทธาของประชาชน อีกทั้งเคยทำผิดและถูกว่ากล่าวแต่ไม่เชื่อฟัง ซ้ำยังใช้วาจาลบหลู่ และไม่ยอมออกจากพื้นที่ ซึ่งเป็นความผิดด้านการปกครองที่เจ้าคณะปกครองสามารถพิจารณาโทษได้

ภาพข่าวเขื่อนภูมิพลระบายน้ำวันละ 100 ล้านลูกบากศ์เมตร...หลังจากปริมาณน้ำเกินจำนวนที่กักเก็บ...