วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2554

จำคุก 38 ปี-มือยิงอาร์พีจีใส่กระทรวงกลาโหม



เวลา 09.30 น. วันที่ 13 ธ.ค. ผู้สื่อข่าว "ข่าวสด" รายงานว่า ที่ห้องพิจารณาคดี 803 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลพิพากษาลงโทษจำคุก ส.ต.ต.บัณฑิต สิทธิทุม อายุ 44 ปี อดีตตำรวจ สภ.วังน้ำเย็น จ.สระแก้ว จำเลยในความผิดฐานร่วมกันกระทำผิดฐานก่อการร้าย กระทำให้เกิดระเบิดเป็นอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินผู้อื่น ร่วมกันมีปืน เครื่องกระสุนปืน และวัตถุระเบิดไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พาอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน และวัตถุระเบิดไปในเมือง ทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร รวม 38 ปี

 คดีนี้พนักงานอัยการฝ่าย คดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2553 จำเลยกับพวกอีก 1 คน ร่วมกันใช้เครื่องยิงจรวด อาร์.พี.จี.2  เล็งและยิงลูกระเบิดไปยังอาคารกระทรวงกลาโหม เขตพระนคร ทำให้นายศักดิ์ หาญสงคราม ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บ สายเคเบิลโทรศัพท์ของ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เสียหายเป็นเงินจำนวน 39,421 บาท โดยจำเลยกับพวกมีความมุ่งหมายเพื่อขู่เข็ญ บังคับ รัฐบาลไทยให้ยุบสภา ทั้งยังสร้างความปั่นป่วนให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน การกระทำของจำเลยกับพวกดังกล่าวเป็นการสนับสนุนช่วยเหลือการก่อการร้ายของ กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จำเลยมีเครื่องยิงจรวด อาร์.พี.จี.2  จำนวน 1 กระบอก ลูกระเบิดแบบสังหาร เอ็ม 67 จำนวน 3 ลูก ปืนกลมือ (เอ็ม3) ขนาด .45 จำนวน 1 กระบอก และกระสุนปืน .45 จำนวน 48 นัด เหตุเกิดที่แขวงศาลเจ้าพ่อเสือ แขวงพระบรมมหาราชวัง แขวงพระนคร เขตรพระนคร แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน แขวงวัดเทพศิรินทร์ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กทม. เกี่ยวพันกัน 

 ศาล พิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์มีพยาน 2 ปาก เบิกความยืนยันว่าพบจำเลยก่อนเกิดเหตุระเบิด โดยจำเลยเข้ามาสอบถามและพยานได้พูดคุยด้วย แม้ว่าในเวลานั้นเป็นช่วงเวลากลางคืน แต่มีแสงสว่างเพียงพอที่พยานจะสามารถจดจำใบหน้าจำเลยได้ นอกจากนี้ยังมีพยานที่จดจำใบหน้าจำเลย หลังก่อเหตุเห็นจำเลยมีท่าทางรีบร้อนลงจากรถกระบะยี่ห้อโตโยต้า รุ่นวีโก้ ติดแผ่นป้ายทะเบียน ตศ 9818 กรุงเทพมหานคร เนื่องจากมีพิรุธที่รถบุบ กระจกแตก และขับขี่น่าหวาดเสียว อีกทั้งผลการตรวจพิสูจน์ลายนิ้วมือของเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน พบว่าลายนิ้วมือแฝงที่พบบนประตูรถกระบะดังกล่าว ตรงกับลายมือนิ้วข้างขวาของจำเลย รวมทั้งเสื้อแจ็คเก็ทที่ตรวจยึดได้ภายในรถนั้นมีรูปแบบสารพันธุกรรมของจำเลย ติดอยู่  เชื่อว่าพยานทุกปากเบิกความไปตามจริง มีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้ว่าจำเลยมีส่วนเกี่ยวข้องกับรถคันเกิดเหตุ เมื่อจำเลยเป็นผู้ครอบครองรถกระบะดังกล่าว ย่อมเป็นผู้ใช้เอกสารป้ายทะเบียนรถปลอมด้วย

 จากการตรวจสอบกล้อง โทรทัศน์วงจรปิด พบรถกระบะของจำเลยขับผ่านเข้าไปที่บริเวณจุดเกิดเหตุ จากนั้นมีภาพแสงเปลวเพลิงระเบิด ที่ถนนแพร่งภูธร เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับรถจำเลย ประกอบกับรถกระบะของจำเลยที่จอดทิ้งไว้ในลักษณะมีกุญแจรถเสียบคาไว้ ตรวจพบเครื่องยิงระเบิด อาร์.พี.จี.2 กระจกด้านซ้ายแตก กระจกที่บริเวณที่นั่งตอนหลังแตก มีคราบเขม่าภายในรถแสดงถึงการยิงจากในรถ เชื่อว่าจำเลยร่วมกับพวกยิงระเบิดดังกล่าว มีเป้าหมายที่กระทรวงกลาโหม แต่ลูกระเบิดไปติดที่สายเคเบิลจึงเกิดระเบิดก่อนถึงเป้าหมาย ขณะเกิดเหตุอยู่ในช่วงการชุมนุมของกลุ่ม นปช. มีการก่อวินาศกรรมหลายแห่ง รัฐบาลขณะนั้นจึงประกาศ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน มีการออกข้อกำหนด ให้ประชาชนปฏิบัติตาม แสดงให้เห็นว่าสถานการณ์บ้านเมืองไม่ปลอดภัย วันเกิดเหตุกลุ่ม นปช.ชุมนุม ที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าฯ ทำให้ประชาชนเดือดร้อน แต่จำเลยกลับไม่ใยดี ก่อเหตุดังกล่าวการกระทำของจำเลยก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ สร้างความปั่นป่วน จึงมีความผิดฐานก่อการร้าย

 พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ฐานร่วมกันใช้เอกสารราชการปลอม จำคุก 2 ปี สำหรับความผิดฐานร่วมกันก่อการร้าย ฐานร่วมกันกระทำให้เกิดระเบิด จนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินผู้อื่น ฐานร่วมกันพยายามทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ฐานร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ ฐานร่วมกันยิงปืนโดยใช้ดินระเบิดในที่ชุมชน เป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท จึงให้ลงโทษฐานร่วมกันกระทำให้เกิดระเบิด จนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินผู้อื่น อันเป็นบทลงโทษหนักสุด จำคุก 20 ปี ฐานร่วมกันมีเครื่องยิงจรวดที่นายทะเบียนออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ในครอบครอง จำคุก 5 ปี ฐานร่วมกันมีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ในครอบครอง จำคุก 5 ปี ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนที่นายทะเบียนออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ในครอบครอง จำคุก 5 ปี และความผิดตาม พ.ร.บ.ปืนฯ พ.ศ.2490 ฐานพาอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน และวัตถุระเบิดไปในเมือง ทางสาธารณะ จำคุก 1ปี รวมจำคุกจำเลยไว้เป็นเวลาทั้งสิ้นรวม 38 ปี และให้ริบของกลาง