วันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2554

บุกรัว 4 นัดดับผู้ใหญ่บ้านตงฉิน ...



เมื่อเวลา 13.00 น.วันนี้ (8 ส.ค.) พ.ต.อ.สนธิชัย อาวัฒนกุลเทพ รอง ผบก.ภ.จว.สุราษฎร์ธานี รับรายงานจาก พ.ต.อ.จำโนทย์ แก้วขาว ผกก.สภ.กาญจนดิษฐ์ ว่าเมื่อช่วงเย็นวันที่ 7 ส.ค.ที่ผ่านมา ร.ต.อ.อุดมศักดิ์ ทัพภะ ร้อยเวร สภ.กาญจนดิษฐ์ รับแจ้งเหตุยิงกันมีผู้ได้รับบาดเจ็บที่บ้านเลขที่ 34 หมู่ 7 ต.ป่าร่อน จึงเดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุซึ่งเปิดเป็นร้านขายของชำ ที่โต๊ะหินอ่อนหน้าบ้านพบกองเลือดไหลนองพื้น ส่วนผู้บาดเจ็บญาตินำส่งโรงพยาบาลไปก่อนหน้านี้ แต่ทนพิษบาดแผลไม่ไหวเสียชีวิตระหว่างทาง คือ นายวิระพงษ์ ชัยพัฒน์ หรือผู้ใหญ่ระ อายุ 49 ปี ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 2 ต.ป่าร่อน มีบาดแผลถูกยิงด้วยอาวุธปืนชนิดลูกโม่ ไม่ทราบขนาด เข้าที่ศีรษะ 3 นัด และชายโครงซ้าย 1 นัด

สอบสวนเบื้องต้นทราบว่า ก่อนเกิดเหตุผู้ใหญ่ระได้ไปนั่งพูดคุยกับเพื่อนบ้านที่หน้าบ้านดังกล่าว ระหว่างนั่นได้มีคนร้ายใช้รถปิกอัพไม่ทราบสียี่ห้อขับเข้ามาจอดริมถนน ก่อนหนึ่งในคนร้ายจะลงมาจากรถแต่งกายสวมเสื้อยืดนุ่งกางเกงขาสั้น สวมหมวกไอ้โม่งปิดบังใบหน้า แล้วตรงเข้าไปใช้อาวุธปืนกระหน่ำยิงใส่ร่างผู้ใหญ่ระถึง 4 นัดซ้อน ก่อนจะวิ่งกลับไปขึ้นรถที่เพื่อนติดเครื่องยนต์รออยู่หลบหนีไป

ทางด้าน พ.ต.อ.จำโนทย์ กล่าวว่า สาเหตุเบื้องต้นตั้งไว้ที่เรื่องขัดแย้งการเมืองท้องถิ่น เนื่องจากพบว่าก่อนหน้านี้เมื่อประมาณ 2 ปีที่ผ่านมา นายวิระพงษ์ ผู้ตายเคยถูกลอบยิงมาแล้วครั้งหนึ่ง โดยครั้งนั้นกระสุนพลาดเป้าถูกแขนได้รับบาดเจ็บเท่านั้น หลังจากเกิดเหตุผู้ตายได้พยายามรวบรวมหลักฐานช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ในสืบหาตัวคนร้ายที่ก่อเหตุ โดยผู้ตายสงสัยคู่อริซึ่งเป็นคู่แข่งในการเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้านที่มีการแข่งขันอย่างดุเดือด และตัวเองได้รับชัยชนะล้มคู่แข่งซึ่งเป็นอดีตผู้ใหญ่บ้านคนเดิมลงได้

อย่างไรก็ตามยังไม่ตัดประเด็นอื่นๆ ทิ้ง ทั้งความขัดแย้งส่วนตัว และขัดแย้งผลประโยชน์ในพื้นที่ เพราะผู้ตายเป็นคนดีเป็นที่รักของชาวบ้านในพื้นที่ ทำงานตรงไปตรงมา โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ผู้ตายทำหน้าที่ผู้ใหญ่บ้าน ได้มีที่ดินสาธารณะอยู่หลายแปลง และเป็นที่ที่หมายปองของกลุ่มนายทุนและบุคคลหลายฝ่าย ที่ต้องการที่ดินมาใช้ทำผลประโยชน์ แต่ผู้ตายได้พยายามขัดขวางมาโดยตลอด นอกจากนั้นยังมีนายทุนเข้ามาทำการดูดทรายในพื้นที่และถูกชาวบ้านร้องเรียน จนนำไปสู่การยกเลิกการดูดทรายของนายทุนคนดังกล่าว ซึ่งเจ้าหน้าที่จะได้เร่งรวบรวมหลักฐานเพื่อสืบสวนหาสาเหตุที่แท้จริง และติดตามคนร้ายที่ก่อเหตุมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป.